คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1347/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี แม้จะมีคำว่า “หลอกลวงผู้อื่น” แต่ก็มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 ก็มิได้บัญญัติให้พนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกได้ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่นายประศักดิ์ ตรีล้ำ นายนิพน เทพจุด นายอำนวย วงษ์ธรรมและนายผจญ ประจวบกลาง ผู้เสียหายทั้งสี่ ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางและจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ว่าสามารถหางานให้ผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ได้ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงนั้นจำเลยกับพวกได้ไปซึ่งเงินจากผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 40,000บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 40,000 บาท

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 40,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้คืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ความผิดตามมาตรา 91 ตรี แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 นั้น เป็นคดีฉ้อโกงประเภทหนึ่ง อันพนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 หรือไม่พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี บัญญัติว่า “ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” เห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะมีคำว่า “หลอกลวงผู้อื่น…”แต่ก็มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ก็มิได้บัญญัติให้พนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share