คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อกฎหมายที่คู่ความยกขึ้นอ้างอิงนั้นจะต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่ศาลชั้นต้น มิฉะนั้นศาลหารับเป็นฎีกาในข้อนั้นไม่
ผู้เช่าเรือยนต์มาทำการหาผลประโยชน์ เมื่อเรือนั้นถูกชนก็ถือว่าเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และมีอำนาจร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานได้ตามมาตรา 123124 และพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนได้ตามมาตรา 120,121และผู้เช่าในฐานะผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการตามมาตรา 28(2) อีกด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าของเรือยนต์ได้ร่วมกับผู้ถือท้ายควบคุมเรือแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานกล่าวหาว่าผู้ถือท้ายเรืออีกลำหนึ่งชนเอาจนต่างฝ่ายได้ร่วมกันทำบันทึกการเสียหายกับเจ้าพนักงานเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเจ้าของเรือนั้นได้ร้องทุกข์ตามกฎหมายอาญา มาตรา 80 แล้ว จึงหาขาดอายุความไม่ ส่วนเรื่องการร้องทุกข์ไม่ถูกต้องเพราะไม่ลงลายมือชื่อนั้นไม่มีประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันมาจึงตกไป

ย่อยาว

คดี 3 สำนวนนี้เรื่องแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยถือท้ายควบคุมเรือยนต์โดยไม่มีประกาศนียบัตร สองเรื่องหลังโจทก์ฟ้องว่าจำเลยถือท้ายเรือยนต์ชนเรือของโจทก์ชำรุดเสียหาย

จำเลยทั้งสามคดีให้การปฏิเสธและคดีหลังตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ น.ส.เน้ยจำเลยในคดีแรก 100 บาทตามพระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำไทย ฉบับ พ.ศ. 2456 มาตรา 282 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 มาตรา 3 และ กฎหมายอาญา มาตรา 18กับให้ยกฟ้องโจทก์สองคดีหลัง

น.ส.เน้ยจำเลยคดีแรก โจทก์สองคดีหลังอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในคดีแรก ส่วน 2 คดีหลังให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้พิพากษาใหม่

น.ส.เน้ยจำเลยในคดีแรกและคดีที่ 2 กับนายยงจำเลยในคดีหลังฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อ ก.ม.ว่าปัญหาข้อ ก.ม.ที่ว่าน.ส.เน้ยจะจับต้องพวงมาลัยถือท้ายก็อยู่ในความรับผิดชอบของนายสมบัติซึ่งเป็นนายท้ายเรือมีประกาศณียบัตรรับรองความรู้โดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้ควบคุมเรืออยู่ น.ส.เน้ยย่อมไม่มีความผิดตามฟ้องปัญหาข้อ กฎหมายดังกล่าว น.ส.เน้ยมิได้ยกข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นและก็มิใช่เป็นข้อ กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยอุทธรณ์น.ส.เน้ยผู้อุทธรณ์ยกขึ้นอ้างไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195

ศาลฎีกาเห็นว่านายทองอยู่มีอำนาจร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123, 124 และพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120, 121 เพราะนายทองอยู่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) โดยนายทองอยู่เป็นผู้เช่าเรือยนต์ศรีมหาโลกมาทำการหาผลประโยชน์เป็นผู้ดูแลรักษาทรัพย์และรับผิดชอบในทรัพย์ที่เช่ามานี้ ระหว่างเช่า ทั้งนายทองอยู่ยังมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในฐานะ เป็นผู้เสียหายอีกด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ฎีกา น.ส.เน้ยจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนฎีกาของนายยงศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่านางแถวโจทก์ได้เข้าร่วมในการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานของ น.ส.เน้ยและนายสมบัติกล่าวหาว่านายยงเป็นฝ่ายถือท้ายเรือยนต์ศรีมหาโลกแล่นชนเรือยนต์สมบัติพวงทองของนางแถวจนนางแถวฝ่ายหนึ่งและนายทองอยู่อีกฝ่ายหนึ่งได้ร่วมกันตรวจบันทึกความชำรุดเสียหายของเรือทั้งสองลำกับเจ้าพนักงานสอบสวนด้วยแล้วเช่นนี้ ถือได้ว่าคดีของนางแถวมีการร้องทุกข์ความประสงค์แห่ง กฎหมายอาญา มาตรา 80 ภายใน 3 เดือนก่อนฟ้องแล้วไม่ขาดอายุความ ซึ่งข้อเท็จจริงศาลฎีกาจะต้องฟังตาม แต่ในข้อที่ว่า น.ส.เน้ยและนายสมบัติไม่ได้ร้องทุกข์ให้ถูกต้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121, 123 เพราะไม่ได้ลงชื่อไว้ต้องถือว่ายังไม่ได้มีการร้องทุกข์ โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 3 เดือนแล้วจึงขาดอายุความฟ้องร้องตาม กฎหมายอาญา มาตรา 80 นั้น ไม่มีประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันมาเกี่ยวกับเรื่องไม่ลงลายมือชื่อในการร้องทุกข์ฎีกานายยงจำเลยเป็นอันตกไป

จึงพิพากษายืน

Share