คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์ จำเลยต่อไปจึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227ซึ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท และโจทก์เสียค่าขึ้นศาล 200 บาทครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ศาลชั้นต้นต้องรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป โดยโจทก์ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นทายาทโดยธรรมของนายนริศร เอื้อทวีกุล หรือนายนฤทธิ์ เลิศศุภเศรษฐ เจ้ามรดกเจ้ามรดกเป็นเจ้าของ กรรมการผู้จัดการบริษัทพ.ธนาวิทย์ผ้าใบ พลาสติก ไนล่อน จำกัด มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้แต่เพียงผู้เดียว และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10932 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่7 ไร่เศษ ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ ก่อนถึงกำหนดการโอนปรากฏว่านายนริศร เอื่อทวีกุล ได้ถึงแก่กรรมไม่มีกรรมการอื่นในบริษัทมาดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10932เลขที่ 119 ให้แก่โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินในคดีนี้ โจทก์ได้ทำกับบริษัท พ.ธนาวิทย์ผ้าใบพลาสติก ไนล่อน จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายนริศร เอื้อทวีกุล ซึ่งมิได้มีนิติสัมพันธ์ใดกับโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 7 วัน
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จะต้องวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจำนวน 200,000 บาท ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องหรือไม่นั้นปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 จึงได้สั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ว่าไม่มีอำนาจฟ้องแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้นที่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องดังกล่าวโดยขอให้ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปด้วย การเสียค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์ 200 บาทนั้น ในการอุทธรณ์ในครั้งนี้นั้นจะเห็นได้ว่าเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ที่ได้บัญญัติไว้นั้นเอง ซึ่งกรณีการอุทธรณ์ฎีกาดังกล่าวนี้กฎหมายได้บัญญัติไว้ในตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยกำหนดให้เรียกค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์ฎีกาเรื่องละ 200 บาท ซึ่งโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลมา 200 บาท ครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วทุกประการ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในครั้งนี้ตามจำนวนทุนทรัพย์ฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์โจทก์ไว้แล้วดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share