แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทางเมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินตรงมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลยจำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที แล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ประกอบกับจำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยสุจริตแต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม ป.อ. มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงรถยนต์กระบะราคา 140,000 บาทของนายทวี เมืองน้ำเที่ยง ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะฆ่าผู้เสียหาย และตบหน้าผู้เสียหายหลายครั้ง ทั้งเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไปให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 1 เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะผู้เสียหายจอดรถยนต์โดยสารให้คนโดยสารลงที่บ้านชาด จำเลยเดินมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูรถลงมาเพื่อจะชกจำเลย จำเลยเข้าไปในที่นั่งคนขับเพื่อขับรถ แล้วจำเลยก็ติดเครื่องรถ ขับรถแล่นวนไปวนมาอยู่ในบริเวณดังกล่าวประมาณ 5 นาที ก็ขับมุ่งหน้าไปที่อำเภอหนองสองห้อง ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความ เห็นว่า เหตุเกิดเวลากลางวันถึงแม้ผู้เสียหายและจำเลยจะมีสาเหตุโกรธเคืองกันถ้าหากจำเลยไม่เอารถยนต์ของผู้เสียหายไป ผู้เสียหายคงไม่กล้าไปแจ้งความ เพราะหากไม่เป็นจริงผู้เสียหายย่อมจะต้องได้รับโทษเช่นกันซึ่งข้อนี้โจทก์มีพันตำรวจตรีเดชา จุลสำรวล เบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความต่อพยานในวันเกิดเหตุว่าจำเลยชิงทรัพย์รถยนต์โดยสารของผู้เสียหายไปและนางมุกข์ ตรีภูมิเบิกความว่า พยานโดยสารรถยนต์โดยสารของผู้เสียหายจากอำเภอพลไปบ้านชาด เมื่อถึงบ้านชาด พยานลงจากรถ พยานเห็นจำเลยยืนอยู่บริเวณที่จอดรถแล้วเดินมาหาผู้เสียหายและคุยกัน พยานก็กลับบ้านต่อมาเวลาประมาณ 13 นาฬิกา พยานทราบว่าจำเลยได้ขับรถของผู้เสียหายหนีไป ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถคืนมอบให้ผู้เสียหายพันตำรวจตรีเดชาไม่รู้จักจำเลย ส่วนนางมุกข์รู้จักผู้เสียหายและจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าพันตำรวจตรีเดชาและนางมุกข์จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างได้ ฟังได้ว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที แล้วขึ้นนั่งขับรถยนต์ผู้เสียหายแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาทีจึงขับรถแล่นไปทางอำเภอหนองสองห้อง คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ โจทก์มีนายเคน ขุนแก้ว เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกานายโฮมผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งต่อพยานว่ามีคนเอารถยนต์มาทิ้งไว้ในเขตหมู่บ้าน พยานออกไปตรวจดู จำได้ว่าเป็นรถผู้เสียหาย ข้าง ๆ รถมีโคลนตมจึงนำรถไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ ภายหลังทราบว่าจำเลยนำรถผู้เสียหายไปทิ้งไว้ พันตำรวจตรีเดชาเบิกความว่า เมื่อรับแจ้งความจากผู้เสียหายแล้ว พยานได้ไปยังที่เกิดเหตุ พบรถที่ถูกชิงไปจอดอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร พยานได้ทำแผนที่สังเขปประกอบคดีตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย ป.จ.2 เห็นว่า นายเคนเป็นกำนันตำบลเมืองพล รู้จักผู้เสียหายและจำเลย ส่วนพันตำรวจตรีเดชาได้ทำแผนที่สังเขปและทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมายป.จ.1 และ ป.จ.2 ในวันเกิดเหตุ จำเลยไม่โต้เถียงว่าแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ป.จ.1 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมายป.จ.2 ไม่ถูกต้อง ประกอบกับนายเคนพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า จากที่เกิดเหตุถึงบริเวณที่พยานพบรถห่างกันประมาณ 2กิโลเมตร รถหันหน้าไปทางทิศใต้ห่างจากถนนราดยางประมาณครึ่งกิโลเมตรดังนี้สถานที่ที่นายเคนพบรถจึงใกล้เคียงกับแผนที่สังเขปเอกสารหมายป.จ.1 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.2เชื่อว่าพันตำรวจตรีเดชาทำแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ป.จ.1 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.2 ตรงตามความจริงข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเมื่อจำเลยขับรถผู้เสียหายแล่นออกจากบ้านชาดไปทางอำเภอหนองสองห้องแล้ว จำเลยได้ขับรถแล่นลงจากถนนสายเมืองพลหนองสองห้อง ไปจอดไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวประกอบกับจำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดใน 5 ประการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย ตามมาตรา 391 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง เท่านั้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมเป็นจำคุก1 ปี 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์