คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3120/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทคู่ความจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบ โดยฟังข้อเท็จจริงบางส่วนตามที่ทนายจำเลยที่ 2 แถลงรับ แต่ยังมีข้อเท็จจริงอื่น ๆ ในคำฟ้อง คำให้การและเอกสารประกอบคำให้การซึ่งหากนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็จะไม่วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของที่ดินที่ตึกแถวพิพาทปลูกอยู่และเป็นการปลูกสร้างโดยไม่มีสิทธิในที่ดินของโจทก์ร่วมแต่อย่างใดนั้น เป็นการคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังข้อเท็จจริงที่สมควรจะฟัง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายครอบครัวทรัพย์สินรวมทั้งบริวารของจำเลยทั้งสองออกไปจากตึกแถวพิพาทและที่ดินและส่งมอบตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและครอบครัวรวมทั้งบริวารจะขนย้ายออกไปจากตึกแถวพิพาทเสร็จเรียบร้อย
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การว่า ตึกแถวพิพาทเลขที่ 298/1-4 จำเลยที่ 2เป็นผู้ปลูกสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2501 ก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 และครอบครัวได้เข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 2 เข้าครอบครองอาคารตึกแถวพิพาทและที่ดินได้ก็โดยนางนวม กฤษณะโยธิน มารดาโจทก์ผู้มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้แบ่งให้จำเลยที่ 2 ครอบครองและปลูกตึกแถวพิพาทในระหว่างที่นางนวมยังมีชีวิตอยู่และก่อนที่ที่ดินแปลงนี้จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ออกจากตึกแถวพิพาทได้ การที่โจทก์สามารถเข้าทำสัญญากับโจทก์ร่วมได้ก็โดยหลอกลวงต่อโจทก์ร่วมว่ามารดาโจทก์ (นางนวม)ได้มอบการครอบครองที่ดินที่เช่าให้แก่โจทก์แต่เพียงผู้เดียวสัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นโมฆะ ตึกแถวพิพาทปลูกสร้างอยู่นอกเขตที่ดินตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม โจทก์จึงไม่มีสิทธิขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทได้ และโจทก์ไม่เสียหาย หากจะเสียหายก็เรียกจำเลยทั้งสองได้เพียงเดือนละ 400 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองขนย้ายครอบครัวทรัพย์สินรวมทั้งบริวารของจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดที่ 500เลขที่ดิน 8 แขวงวชิรพยาบาล (สามเสน) เขตดุสิต กรุงเทพมหานครและตึกพิพาทเลขที่ 298/1 ถนนราชวิถี แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร และส่งมอบตึกพิพาทดังกล่าวแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาข้อ 3
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท คู่ความจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง พิเคราะห์แล้วศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของที่ดินที่ตึกแถวพิพาทเลขที่ 298/1-4 ปลูกอยู่ จำเลยทั้งสองปลูกสร้างตึกแถวโดยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมมิได้ยินยอมอนุญาตจึงเป็นการปลูกสร้างโดยไม่มีสิทธิในที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินของโจทก์ร่วมต่อไปจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ได้ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบโดยฟังข้อเท็จจริงบางส่วนตามที่ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับ แต่ยังมีข้อเท็จจริงอื่น ๆ ในคำฟ้องคำให้การ และเอกสารประกอบคำให้การ ซึ่งหากนำข้อเท็จจริงอื่น ๆดังกล่าว มาวินิจฉัยประกอบด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็จะไม่วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของที่ดินที่ตึกแถวพิพาทปลูกอยู่ และเป็นการปลูกสร้างโดยไม่มีสิทธิในที่ดินของโจทก์ร่วมแต่อย่างใดนั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นการคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังข้อเท็จจริงที่สมควรจะฟัง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 ทั้งหมด

Share