คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่า ตามวันที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ในวันอื่นจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จริง โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังนี้ หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้หรือไม่จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างส่งซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามฟ้องและฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่า ตามวันที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ในวันอื่นจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จริง โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องเป็นสัญญาปลอม ไม่มีมูลหนี้ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 50,000 บาท โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้และลงจำนวนเงินในสัญญาให้โจทก์ยึดถือไว้ ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์ฎีกาว่า หลักฐานการชำระหนี้ที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วตามเอกสารหมาย ล.1เป็นการชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปเมื่อต้นปี 2519 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องนั้น โจทก์เบิกความว่า ก่อนจำเลยทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์มาหลายครั้ง ขณะทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จำเลยยังชำระหนี้ไม่หมด หนี้เดิมมีประมาณ 80,000-90,000 บาท จำเลยได้ชำระมาแล้วบางส่วน ต่อมาจำเลยมาขอชำระเพียง 40,000 บาท แล้วถือว่ายกเลิกหนี้เดิมทั้งหมด โจทก์ตกลงลดหนี้ให้ตามที่จำเลยขอ แต่จำเลยยังไม่ได้ชำระ เห็นว่า โจทก์เบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมมาสนับสนุน จึงไม่น่าเชื่อว่าก่อนทำสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนแล้ว 80,000-90,000 บาท และโจทก์ตกลงลดหนี้ให้เหลือ 40,000 บาท หากจำเลยเป็นหนี้เดิมอยู่จริงและยังไม่ชำระ โจทก์คงไม่ยอมให้จำเลยกู้ยืมเพิ่มเติมอีกถึง 50,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์เบิกความว่า หลังจากทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้นำเงินมามอบให้โจทก์รวมแล้วประมาณ 10,000 บาทแต่โจทก์กลับรับว่า โจทก์เป็นผู้เขียนข้อความและลงชื่อในใบรับเงินเอกสารหมาย ล.1 ด้วยลายมือของโจทก์เอง ซึ่งมีข้อความว่า “ตามที่นายสมพงษ์ ตันสว่างกุล ได้กู้เงินของนางจินดา กฤษณะเศรณีไปเป็นเงิน 50,000 บาทนั้น ได้ชำระกันเรียบร้อยแล้ว จึงลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน” ตามคำเบิกความของโจทก์ประกอบเอกสารหมาย ล.1 และสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ฟังได้ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จากจำเลยครบถ้วนแล้วตามหลักฐานใบรับเงินเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวอีกเพราะหนี้ได้ระงับสิ้นไปด้วยการชำระหนี้แล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ใบรับเงินเอกสารหมาย ล.1 เป็นการชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เอกสารหมายจ.1 คลาดเคลื่อนความจริงไม่ถูกต้องและเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเพราะจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า จำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้องแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยให้การว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 50,000 บาทโดยจำเลยได้ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้ชำระเงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วสัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ ซึ่งจำเลยจะต้องนำสืบการใช้เงิน เมื่อโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินของโจทก์ไปเป็นเงิน 50,000 บาท โจทก์ได้รับชำระแล้วตามหลักฐานใบรับเงินเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1 และโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานเอกสารหมาย ล.1 และฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share