คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16134/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาวางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษานั้น เป็นการกระทำเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยมุ่งประสงค์ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามารับไป ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้โจทก์ทราบ หากโจทก์ทราบแล้วไม่มารับเงินภายในห้าปีนับแต่มีการวางเงิน เงินดังกล่าวจึงจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายและทำให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่คดีนี้หลังจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาวางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบ เงินดังกล่าวจึงยังไม่เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่ศาลชั้นต้นที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 และยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ และให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกา ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน 2547 จำเลยที่ 1 นำเงินมาวางศาลจำนวน 420,416 บาท โจทก์ได้มาขอรับเงินดังกล่าวในวันที่ 5 เมษายน 2554 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องว่าโจทก์มาขอรับเงินเกินกว่า 5 ปี เงินดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเพื่อบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำบังคับดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า ศาลชั้นต้นออกคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า เงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหรือไม่ และโจทก์หมดสิทธิรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวาง เนื่องจากเกินกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันวางเงินหรือไม่ นั้น เมื่อพิจารณารายงานเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 14 กันยายน 2547 มีข้อความระบุว่า จำเลยนำเงินมาวางศาลเป็นค่าชำระหนี้จำนวน 420,416 บาท โดยมีใบเสร็จรับเงินแนบท้ายรายงานว่า เป็นเงินค่าชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้รับมาจากจำเลยที่ 1 ดังนี้ การวางเงินดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเพื่อให้โจทก์รับไป ซึ่งศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบโดยมีหมายนัดแจ้งแก่โจทก์ หากโจทก์ทราบและไม่มารับเงินไปภายในห้าปีนับแต่วันที่วางเงิน เงินดังกล่าวจึงจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายและทำให้ตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 แต่คดีนี้ปรากฏว่า หลังจากจำเลยที่ 1 นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบว่ามีเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เงินดังกล่าวจึงยังไม่เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่ศาลชั้นต้นที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 และยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ทั้งมิใช่เป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ขอออกคำบังคับและศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้นั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในลักษณะ 2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำบังคับของศาลชั้นต้น และให้โจทก์รับเงินจำนวน 420,416 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำมาวางเพื่อชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share