คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมตกลงกันให้ผู้ร้องทั้งสองกับบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท คำพิพากษานั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้ว่าหลังจากนั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าสัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกคดีและศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องว่า คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา ซึ่งหมายความว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ว่าจะรับหรือไม่รับที่ดินหรือไม่ก็ได้ เท่านั้น ไม่ต้องนำไปบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสอง การที่ผู้ร้องที่ 2 มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว หรือมายื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา โดยมีความประสงค์อย่างชัดแจ้งว่า ต้องการนำคำสั่งศาลดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในชั้นบังคับคดีว่า ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีไม่มีความผูกพันที่จะต้องลงชื่อบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวม เป็นการหลีกเลี่ยงการบังคับคดีให้ผิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไขว้เขวต่อการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ศาลเห็นสมควรไม่ออกหนังสือรับรองให้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงแบ่งที่พิพาท โฉนดเลขที่ ๑๐๘๔ ของนางต่อมและสิบโทอยู่ออกเป็นสองส่วน ส่วนด้านทิศเหนือให้แก่ผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลว ดีพร้อม ส่วนด้านทิศใต้ให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง และบ้านเลขที่ ๑๗ หมู่ที่ ๑ ในที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้คัดค้านทั้งสองและในฐานะผู้จัดการมรดกของนางต่อมและสิบโทอยู่จะดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทและจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลวในโฉนดที่ดินภายใน ๗ วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด และนางทองเปลวได้ตกลงรับส่วนแบ่งดังกล่าวในขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว แต่ผู้คัดค้านทั้งสองดำเนินการจดทะเบียนโอนล่าช้า ผู้ร้องทั้งสองจึงขออายัดที่พิพาทและฟ้องให้เพิกถอนผู้คัดค้านที่ ๒ ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องที่ ๒ และผู้คัดค้านที่ ๒ ไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอม แต่ฝ่ายผู้ร้องที่ ๒ กับพวกไม่ยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้องทั้งสอง จึงขอทราบวิธีปฏิบัติซึ่งศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยจดทะเบียนนิติกรรมตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมไปแล้ว
ต่อมาวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ ผู้ร้องที่ ๒ ยื่นคำร้องว่า นางทองเปลวเป็นบุคคลภายนอกคดี เพื่อความชัดเจนในการบังคับคดี ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๔ ในคดีนี้ไม่มีผลผูกพันนางทองเปลว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องว่า คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ผูกพันนางทองเปลว ดีพร้อม
วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๙ ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เพื่อให้ผู้ร้องทั้งสองจะนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในชั้นบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นเพียงคำสั่งตามคำร้อง มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี จึงไม่อนุญาตให้ออกหนังสือตามคำร้องฉบับนี้ ยกคำร้อง
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ และ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๐ ผู้ร้องที่ ๒ ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นในทำนองเดียวกันอีกซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลเคยมีคำสั่งในเรื่องนี้แล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ยกคำแถลง
วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๐ ผู้ร้องที่ ๒ ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองข้อเท็จจริงว่า คำสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงคำสั่งตามคำร้อง ไม่มีเหตุที่จะออกหนังสือรับรอง ให้ยกคำแถลง
ผู้ร้องที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ปัญหาตามฎีกาผู้ร้องที่ ๒ ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับผู้คัดค้านทั้งสอง ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วระบุ “ให้แบ่งที่พิพาทออกเป็นสองส่วนตามความยาวของที่ดิน โดยให้แปลงด้านทิศเหนือตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลว ส่วนแปลงด้านทิศใต้ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสอง…” สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว จึงผูกพันผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองอันเป็นคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง โดยผู้คัดค้านทั้งสองมีหน้าที่ต้องยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทออกเป็นสองส่วน และให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลวเป็นผู้ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นแปลงด้านทิศเหนือ และผู้ร้องทั้งสองมีหน้าที่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมที่ถึงที่สุดแล้วนั้น ต้องยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนดังกล่าวด้วย แต่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านจะอ้างผลของสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเพื่อจะให้นางทองเปลวยอมรับการเป็นเจ้าของรวมกับผู้ร้องทั้งสอง และยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวในที่ดินไม่ได้เพราะนางทองเปลวเป็นบุคคลภายนอกที่จะได้รับผลประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเท่านั้น มิได้เป็นคู่ความในคดี สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจึงไม่ผูกพันนางทองเปลวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตาม และเป็นสิทธิเฉพาะของนางทองเปลวในฐานะบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ที่จะรับหรือไม่รับที่ดินเท่านั้น หาก่อให้เกิดสิทธิหรือหาจำต้องนำไปบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองด้วยไม่ ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองยังคงมีหน้าที่ต่างตอบแทนและผูกพันต่อกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมที่จะต้องให้เจ้าพนักงานที่ดินลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือรวมกับผู้ร้องทั้งสองต่อไป แต่ผู้ร้องที่ ๒ กลับยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ และรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๔ ไม่ผูกพันนางทองเปลว โดยผู้ร้องที่ ๒ มีความประสงค์อย่างชัดแจ้งดังเช่นที่ได้ระบุในฎีกาของผู้ร้องที่ ๒ และตามคำร้องของผู้ร้องที่ ๒ หลายฉบับว่า ผู้ร้องที่ ๒ ต้องการนำคำสั่งศาลที่สั่งว่า คำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตาม แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ผูกพันนางทองเปลว และผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวต้องนำไปบังคับแก่คู่ความด้วย อันเป็นผลให้ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีไม่มีความผูกพันที่จะต้องลงชื่อนางทองเปลวมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือรวมกับผู้ร้องทั้งสองนั้นไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในชั้นบังคับคดี เพื่อเจ้าพนักงานที่ดินจะได้ไม่ลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้องที่ ๒ ดังเช่นที่ผู้ร้องที่ ๒ ได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้ ซึ่งความเห็นของผู้ร้องที่ ๒ ดังที่อ้างในฎีกาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการอ้างเพียงฝ่ายเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงให้การบังคับคดีผิดไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไขว้เขวต่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา ดังเช่นที่ได้มีหนังสือสอบถามการปฏิบัติดังกล่าวต่อศาลซ้ำ ๆ กันหลายครั้งมาแล้ว ทั้งทำให้การบังคับคดีเป็นไปอย่างล่าช้าโดยปราศจากเหตุอันสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เห็นสมควรไม่ออกหนังสือรับรองให้ผู้ร้องที่ ๒ ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share