แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อลูกจ้างได้กระทำการอันส่อว่าทุจริตเกี่ยวกับการเงินแล้วนายจ้างบอกให้ลูกจ้างลาออกมิฉะนั้นจะดำเนินคดีเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ดังนั้น เมื่อลูกจ้างสมัครใจลาออก จึงถือไม่ได้ว่านายจ้างเลิกจ้าง
ย่อยาว
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการที่จำเลยบอกให้โจทก์ลาออกมิฉะนั้นจะดำเนินคดีฐานทุจริตเกี่ยวกับการเงิน ถือว่าเป็นการข่มขู่โจทก์ให้ลาออก ต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์และจำเลยต้องจ่ายเงินตามฟ้องให้โจทก์นั้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า โจทก์ได้กระทำการอันส่อว่าร่วมกับพวกกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการเงินต่อจำเลย จำเลยจึงบอกโจทก์ให้ลาออกมิฉะนั้นจะดำเนินคดี โจทก์สมัครใจเลือกเอาการลาออก เห็นว่าการที่โจทก์กระทำการอันส่อว่าเป็นการทุจริตต่อจำเลยนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินคดีแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยบอกโจทก์ให้ลาออกมิฉะนั้นจะดำเนินคดีนั้น เป็นการขู่หากโจทก์ไม่ลาออกจะถูกดำเนินคดีการขู่เช่นนี้เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 127 ไม่จัดว่าเป็นการข่มขู่ และการวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการข่มขู่หรือไม่ ไม่ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 129 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 48 มาประกอบการวินิจฉัยดังที่โจทก์อ้างเพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่บทนิยามของคำว่าการข่มขู่ การแสดงเจตนาลาออกของโจทก์จึงสมบูรณ์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์”
พิพากษายืน