คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331-1332/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในบรรดาหนี้ที่ถึงกำหนดชำระพร้อมกันและมีประกันเท่ากันหนี้ที่มี ดอกเบี้ย สูงกว่า เป็นหนี้รายที่ตกหนักแก่ลูกหนี้มากกว่าจึงควรได้รับการปลดเปลื้องไปก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 แม้จะมีข้อสัญญากำหนดเบี้ยปรับที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เมื่อผิดสัญญาแต่การที่จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ใช้ทุนฝึกอบรมครบถ้วนเป็นเพราะโจทก์มีส่วนอนุญาตให้จำเลยไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเหตุให้จำเลยไม่กลับมาใช้ทุนและลาออกจากราชการไป การคิดเอาเบี้ยปรับสองเท่าจึงเป็นจำนวนที่สูงเกินส่วน ศาลลดลงได้ ตามป.พ.พ. มาตรา 383.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรก กับจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยเป็นกรมในรัฐบาล จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกรมวิสามัญศึกษา ได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยในประเทศแคนนาดา มีกำหนด 1 ปี 1 เดือน 3 วัน โดยทุนส่วนตัว(ทุนประเภท 2) เพื่อประโยชน์ของกรมวิสามัญศึกษาและได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลไทย ในระหว่างลาไปศึกษาต่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาไว้ว่าระหว่างไปศึกษาต่อ จำเลยที่ 1 จะปฏิบัติตามระเบียบวินัยและข้อบังคับของทางราชการ ยอมให้กรมวิสามัญศึกษาเรียกตัวกลับได้ก่อนกำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาแล้วจะต้องรับราชการต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม ทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน หากผิดสัญญาหรือไม่กลับมารับราชการ จำเลยที่ 1 ยอมใช้คืนเงินทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นซึ่งได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อ นอกจากนี้ยังยอมจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับจำนวนหนึ่งเท่าของเงินที่ต้องชดใช้คืน หากจำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบเวลาเงินที่จะชดใช้คืนและเบี้ยปรับดังกล่าวจะลดลงตามส่วนของเวลาที่จำเลยที่ 1รับราชการ ทั้งนี้ โดยเงินที่ชดใช้คืนและเบี้ยปรับดังกล่าวจำเลยที่ 1 รับจะชำระหนี้ให้ทั้งหมดภายใน 30 วัน ถัดจากวันรับแจ้งให้ชำระ หากไม่ชำระเงินภายในกำหนด หรือชำระไม่ครบยอมให้คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยังมิได้ชำระในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกัน หลังจากจำเลยที่ 1 เดินทางไปศึกษาต่อครบกำหนดดังกล่าวข้างต้น โดยได้รับเงินเดือนระหว่างไปศึกษาต่อเป็นเงิน34,157.09 บาท จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องรับราชการชดใช้ทุนเป็นระยะเวลาสองเท่าของเวลาที่ไปศึกษาต่อเป็นเวลา 2 ปี 2 เดือน 6 วันหรือต้องชดใช้เงินสองเท่าของเงินที่ได้รับไปเป็นเงิน 68,314.18 บาทจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่รับราชการชดใช้ทุนจึงต้องชดใช้เงินให้แก่กรมวิสามัญศึกษาเป็นจำนวน 68,314.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันลาออกจากราชการอันเป็นวันผิดนัดจนถึงวันชำระเสร็จ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันมีหน้าที่ร่วมรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมรับผิดใช้หนี้ดังกล่าวให้โจทก์กับได้ชดใช้หนี้บางส่วนเป็นเงิน 11,500 บาทจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดใช้ต้นเงิน 68,314.18 บาทกับดอกเบี้ยให้โจทก์และเมื่อหักเงินที่ชดใช้บางส่วนแล้ว คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องร่วมกันใช้ให้โจทก์เป็นเงิน159,145.07 บาท และจำเลยที่ 1 ได้รับคัดเลือกให้ไปอบรมและดูงานการบริหารโรงเรียน ณ มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนนาดา โดยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลไทยในระหว่างลาไปฝึกอบรมการไปฝึกอบรมและดูงาน ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ทำสัญญาไว้ทำนองเดียวกับสัญญาดังกล่าวข้างต้น และจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหลังจากจำเลยที่ 1 เดินทางไปฝึกอบรมและดูงานตามกำหนดดังกล่าวโดยได้รับเงินเดือนระหว่างไปฝึกอบรม และได้รับเงินทุนการศึกษารวมเป็นเงิน 146,356.15 บาท จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตามสัญญาต้องรับราชการชดใช้ทุนเป็นระยะเวลาสามเท่าของเวลาที่ไปทำการฝึกอบรมและดูงาน หรือชดใช้เงินสามเท่าของเงินที่ได้รับไประหว่างฝึกอบรมและดูงานเป็นจำนวน 439,068.45 บาท จำเลยที่ 1 ผิดสัญญารับราชการชดใช้ทุนไม่ครบถ้วนโดยรับราชการชดใช้ทุนเพียง 325 วันก็ลาออกจากราชการ คงเหลือเวลาที่ต้องรับราชการใช้ทุนอีก 590 วันคิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้ทุนเป็นจำนวน 283,115.16 บาท หักเงินสะสมที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจำนวน 16,445.86 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องใช้เป็นจำนวน 266,669.30 บาท จำเลยที่ 3ผู้ค้ำประกันมีหน้าที่ต้องร่วมรับผิดเงินจำนวนดังกล่าว นอกจากนี้แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ย ซึ่งคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 199,727.99 บาท รวมเป็นหนี้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 3ต้องร่วมกันชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 466,397.29 บาท ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 159,145.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของจำนวนเงิน 68,314.18 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 466,397.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ของจำนวนเงิน 266,669.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้งสองสำนวน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 172,297.58 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่1 ธันวาคม 2523 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้นหากจำเลยที่ 1 ไม่ใช้ให้จำเลยที่ 3 ชำระแทน และให้จำเลยที่ 1ใช้เงิน 16,445.86 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2523 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระแก่โจทก์เสร็จ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ใช้แทน คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์สำนวนแรกนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาข้อแรกว่าเงินสะสมจำนวน 16,445.86 บาท ของจำเลยที่ 1 จะต้องนำไปชำระหนี้รายใดก่อน ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มิได้ระบุว่าให้นำเงินจำนวน 16,445.86 บาท ไปชำระหนี้รายใดกรณีจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “…ท่านว่าหนี้สินรายไหนถึงกำหนด ก็ให้รายนั้นเป็นอันได้เปลื้องไปก่อน ในระหว่างหนี้สินหลายรายที่ถึงกำหนดนั้น รายใดเจ้าหนี้มีประกันน้อยที่สุด ก็ให้รายนั้นเป็นอันได้เปลื้องไปก่อน ในระหว่างหนี้สินหลายรายที่มีประกันเท่า ๆ กันให้รายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้เป็นอันได้เปลื้องไปก่อน…” หนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.34 ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.35 และหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.36 ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.37 ต่างก็ถึงกำหนดพร้อมกันและมีประกันเท่ากัน แต่หนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีตามสัญญา ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 วรรคหนึ่ง หนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจึงต้องเสียดอกเบี้ยมากกว่าหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน แม้หนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันจะมีจำนวนสูงกว่า เมื่อคำนวณดอกเบี้ยในระยะเวลาเท่ากันจำนวนดอกเบี้ยของหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันจะเป็นจำนวนสูงกว่าก็ตาม ก็มิได้ทำให้หนี้รายนี้ต้องเสียดอกเบี้ยมากกว่าดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกรณีที่นำเงินสะสมของจำเลยที่ 1 จำนวน 16,445.86 บาท ไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2 หรือรายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน แล้วคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือ จะเห็นได้ว่ากรณีนำเงินสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าจำนวนดอกเบี้ยให้หนี้ทั้งสองรายรวมกันในระยะเวลาภายหลังจากนั้นจะมีจำนวนน้อยกว่ากรณีนำเงินสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน การที่ให้หนี้รายที่จำเลยที่ 2ค้ำประกันได้ปลดเปลื้องไปก่อนจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกหนี้ได้มากกว่าเพราะเป็นการลดภาระที่หนักกว่าของลูกหนี้ ดังนั้นหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าจึงเป็นหนี้รายที่ตกหนักแก่ลูกหนี้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้ว
ปัญหาข้อต่อไปว่า จำนวนเบี้ยปรับตามสัญญาที่จำเลยที่ 3ค้ำประกันมีเพียงใดตามสัญญาเอกสารหมาย จ.36 ซึ่งจำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ข้อ 4 มีความว่า “ในกรณีที่ข้าพเจ้าผิดสัญญา…ข้าพเจ้าจะชดใช้เงินทุนซึ่งได้รับจากรัฐบาลแคนาดาทั้งหมดและเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ถ้ามี ซึ่งได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาเพื่อฝึกอบรม นอกจากนี้ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับให้แก่ผู้รับสัญญาอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับสองเท่าของเงินที่ข้าพเจ้าต้องชดใช้คืน” นั้น เห็นว่า เป็นข้อสัญญากำหนดเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 จะชำระให้โจทก์เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา การที่จำเลยที่ 1ไม่ได้ชำระหนี้ใช้ทุนฝึกอบรมครบถ้วน เป็นเพราะโจทก์มีส่วนอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ไม่กลับมาใช้ทุนและลาออกจากราชการไป การคิดเอาเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนเงิน 146,356.15 บาท ที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนให้โจทก์จึงเป็นจำนวนที่สูงเกินส่วน ที่ศาลล่างทั้งสองอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ลดเบี้ยปรับลงโดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยปรับให้โจทก์หนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรก ส่วนสำนวนหลังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้นำยอดเงินสะสมของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นนำไปหักออกจากหนี้รายที่จำเลยที่ 3ค้ำประกันเข้าไปรวมใหม่ ทำให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อนำเงินสะสมของจำเลยที่ 1จำนวน 16,445.86 บาท ไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำนวน 68,314.18 บาท เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระ11,500 บาท และที่ชำระด้วยเงินบำเหน็จของจำเลยที่ 1 จำนวน40,415 บาท แล้วคงเป็นจำนวนเงินที่ชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันเกินอยู่ 46.68 บาท ให้นำเงินจำนวนนี้ไปหักออกจากหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน จำนวน 188,743.44 บาทคงเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามฟ้องสำนวนหลังเป็นเงิน188,696.76 บาท”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 188,696.76 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1ธันวาคม 2523 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้นหากจำเลยที่ 1 ไม่ใช้ให้จำเลยที่ 3 ชำระแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share