แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เบิกสินค้าต่าง ๆ ไปจากโจทก์นำไปขายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1,551,387.40 บาท แต่จำเลยได้ส่งสินค้าคืนหักค่าใช้จ่ายค่าของแถม และส่งเงินสดให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 1,412,710.30บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยยังไม่ได้ส่งให้โจทก์รวม 138,677.10 บาทและเงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ยกมาจากปีก่อนอีกรวม 39,728 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 177,955.10 บาท ปรากฏตามพยานหลักฐาน(ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในวันพิจารณาต่อไปดังนี้ โจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เบิกรับไปจากโจทก์ไปขายนั้น เป็นสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใด ได้ส่งสินค้าอะไรจำนวนและราคาเท่าใดคืนจึงรวมเป็นเงินที่จำเลยส่งคืนแล้วและจำนวนเงินที่จำเลยยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้งมิได้แนบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยรับไปและส่งคืนมาท้ายคำฟ้องที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไปนั้น แม้ภายหลังโจทก์จะส่งพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาลพยานหลักฐานนั้นก็มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องจะเอามาพิจารณาประกอบคำฟ้องหาได้ไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงาน (ลูกจ้าง) ของบริษัทโจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย ได้เบิกรับสินค้าต่าง ๆ จากบริษัทโจทก์นำไปขายระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2519 รวม 112 ครั้ง คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,551,387.40 บาท แต่จำเลยที่ 1 ได้ส่งสินค้าคืน หักค่าใช้จ่ายค่าของแถม และส่งเงินสดให้บริษัทโจทก์แล้วระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 24กรกฎาคม 2519 รวมเป็นเงิน 1,412,710.30 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งรวม 138,677.10 บาท และเงินค่าสินค้าซึ่งจำเลยเบิกรับไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งยกมาจากปี 2518 อีกรวม 39,278 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 177,955.10 บาทปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไปเงินจำนวน 177,955.10 บาทนี้ จำเลยที่ 1 ยังมิได้นำส่งให้โจทก์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2518 จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ ขอค้ำประกันจำเลยที่ 1 ถ้าหากจำเลยที่ 1 กระทำความเสียหายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินเป็นต้นว่า ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแทนภายในวงเงิน 100,000 บาทด้วย โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งแล้ว จำเลยทั้งสองไม่จัดการชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ย จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันและแทนกันชำระเงินค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองไม่สามารถทราบได้ว่าได้เบิกสินค้าอะไรไปจากโจทก์เมื่อใด รวม 112 ครั้ง เป็นเงินจำนวนเท่าใด และครั้งใดได้เบิกสินค้าอะไรไป ครั้งใดได้ส่งเงินแล้วและครั้งใดยังไม่ส่งเงิน เงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกรับไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้บริษัทโจทก์ยกมาจากปี 2518 อีกรวม 39,278 บาท นั้นมีอะไรบ้าง จำเลยทั้งสองจึงไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จำเลยที่ 1 ไม่เคยเบิกสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ได้ส่งเงิน หรือไม่จำเลยที่ 1 ก็ได้ส่งสินค้าที่เบิกมาแก่โจทก์แล้ว ไม่เคยมีการติดค้างแต่อย่างใดหนังสือค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ให้ไว้กับโจทก์มีความว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1กระทำความเสียหายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินเป็นต้นว่าฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์สินจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแทนภายในวงเงิน 100,000บาท นั้น ตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยฉ้อโกงหรือยักยอกแต่อย่างใด จำเลยที่ 2ไม่ต้องรับผิด ถึงแม้ว่าจะต้องรับผิดก็เพียงในวงเงินจำนวนไม่เกิน 100,000 บาท
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 มรณะ ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 100,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสอง บังคับว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่ง (1) สภาพแห่งข้อหา (2)คำขอบังคับ และ (3) ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1ได้เบิกสินค้าต่าง ๆ ไปจากบริษัท โจทก์นำไปขายระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2519 รวม 112 ครั้ง คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,551,387.40บาท แต่จำเลยที่ 1 ได้ส่งสินค้าคืนหักค่าใช้จ่าย ค่าของแถม และส่งเงินสดให้โจทก์แล้ว ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2519 รวมเป็นเงิน1,412,710.30 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งให้โจทก์รวม 138,677.10บาท และเงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ยกมาจากปี 2518อีกรวม 39,728 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 177,955.10 บาท ปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในวันพิจารณาต่อไป เงินจำนวน 177,955.10 บาทนี้ จำเลยที่ 1 ยังมิได้นำส่งโจทก์ โจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เบิกรับไปจากโจทก์ไปขายนั้นเป็นสินค้าอะไรจำนวนและราคาเท่าใด ได้ส่งสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใดคืน จึงรวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ส่งคืนแล้ว และจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1ยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ทั้งมิได้แนบสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยที่ 1 รับไปและส่งคืนมาท้ายคำฟ้องอันจะพึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับสินค้าอะไร จำนวน และราคาเท่าใดไปขายและส่งสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใดคืน ที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไปนั้น แม้ภายหลังโจทก์จะส่งพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาล พยานหลักฐานนั้นก็มิใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้อง จะเอามาพิจารณาประกอบคำฟ้องหาได้ไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่จำต้องพิเคราะห์ฎีกาข้ออื่นต่อไป
พิพากษายืน