คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดปัตตานี ขอให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทโจทก์จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้รวมการพิจารณาคดีที่โจทก์ฟ้องเข้ากับคดีที่โจทก์อีกคนหนึ่งฟ้องจำเลยที่ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยขอให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต เช่นนี้จำเลยหาอาจยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 6,8 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ได้ไม่ เพราะคดีอาญานั้นมีบทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 23,26บัญญัติเรื่องการโอนคดีไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตราดังกล่าวมาปรับแก่กรณีของจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเด่น โต๊ะมีนา ฟ้องคดีนี้เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฎชัดก่อนวันที่ 7 ธันวาคม 2529เวลากลางวันและกลางคืนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2529 จำเลยที่ 1ได้เขียนข้อความบทประพันธ์เป็นรายงานเรื่อง ‘มูจาเฮดีนปัตตานี’ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สุดสัปดาห์ ‘มติชน’ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 7ธันวาคม 2529 อันเป็นหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์ออกจำหน่ายต่อสาธารณชนทั่วประเทศซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ความว่า ในภาคใต้ของประเทศมีขบวนการโจรก่อการร้าย(ขจก.) ที่เป็นขบวนการทางการเมืองที่มีวัตถุประสงค์แบ่งแยกดินแดน อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง ในชื่อ’มูจาเฮดีนปัตตานี’ เกิดขึ้น ระบุถึงโจทก์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว โดยเขียนชื่อโจทก์ว่า นายหะยีมีน โต๊ะมีนาจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้ผู้อ่านเชื่อว่าโจทก์เป็นโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยที่ 1 มีเจตนาใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม เหตุเกิดทุกตำบล อำเภอและทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมทั้งตำบลอาเนาะรูอำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83 พระราชบัญญัติการพิมพ์ฯ มาตรา48 และสั่งให้จำเลยทั้งสองประกาศแจ้งความคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันไทยรัฐ มติชน เดลินิวส์ สยามรัฐ แนวหน้า บ้านเมืองกำหนดฉบับละ 15 วัน ติดต่อกันและหนังสือพิมพ์สุดสัปดาห์ มติชนจำนวน 4 ฉบับติดต่อกัน โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลจังหวัดปัตตานีไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดปัตตานีว่า การกระทำความผิดเรื่องเดียวกันนี้นายเด่น โต๊ะมีนา ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาหมิ่นประมาทนายหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์ หรือโต๊ะมีนา ผู้ตาย โดยการโฆษณาทางเอกสารหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกับที่ฟ้องเป็นคดีนี้ ต่อศาลแขวงพระนครเหนือเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3762/2530 และโดยที่โจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีทั้งสองเรื่องเป็นคนเดียวกันคดีทั้งสองเรื่องมีประเด็นอย่างเดียวกัน เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกันและเป็นกรรมเดียวกัน คดีทั้งสองเรื่องศาลเพียงแต่สั่งประทับฟ้องไว้ จำเลยมีภูมิลำเนาและมูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ และโจทก์ก็เป็นผู้มีอิทธิพลในทางการเงินและในทางการเมืองเพราะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การรวมพิจารณาคดีทั้งสองเรื่องที่ศาลแขวงพระนครเหนือจะเป็นการสะดวกต่อศาล ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองรวมกัน โดยโอนคดีนี้ไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ
โจทก์แถลงคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสองคดีเป็นคนละคนกัน และพยานโจทก์หลายปากอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานีซึ่งมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้
ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีหนังสือสอบถามไปยังศาลแขวงพระนครเหนือว่าจะขัดข้องในการรับโอนคดีนี้ไปรวมพิจารณากับคดีหมายเลขดำที่ 3762/2530 ของศาลแขวงพระนครเหนือหรือไม่ ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือตอบขัดข้องการโอนคดีดังกล่าว
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลแขวงพระนครเหนือโดยขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลจังหวัดปัตตานีจำหน่ายคดีนี้เสียจากสารบบความหรือโอนคดีไปยังศาลแขวงพระนครเหนือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 6, 7, 8
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ในคดีอาญา การยื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ขอให้โอนคดี ตลอดทั้งการส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในกรณีนี้ไม่อาจกระทำได้ เพราะได้มีบทบัญญัติโดยเฉพาะแล้วตามภาค 1ลักษณะ 2 หมวด 3 อำนาจศาล มาตรา 23 และมาตรา 26 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านคำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 23 และมาตรา 26 ไม่อาจนำมาใช้แก่คดีนี้ได้และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 6, 8 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15มาอนุโลมใช้บังคับแก่กรณีของจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นการยื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ตลอดจนการส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในกรณีนี้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 6, 8 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จะกระทำได้หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาการโอนคดีได้มีบัญญัติไว้แล้วตามมาตรา 23 และมาตรา 26 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับมาในฎีกาว่า มาตรา 23 และมาตรา 26 ไม่อาจนำมาปรับแก่กรณีของจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติเรื่องการโอนคดีไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา6, 8 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มาปรับแก่กรณีของจำเลยที่ 1 ได้ คำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share