คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอนับโทษต่อ
หลักในเรื่องการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ เมื่อสำนวนคดีเรื่องก่อนยังไม่ปรากฏว่าได้พิพากษา(ยังเป็นคดีดำอยู่)จึงไม่มีโทษอันใดที่ศาลจะไปนับต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าคดีเรื่องก่อนนั้นในเวลาต่อมา ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว แต่ในสำนวนคดีเรื่องหลังก็ไม่ปรากฏว่าสำนวนคดีเรื่องก่อนได้พิพากษาลงโทษไปแล้วก่อนคดีเรื่องหลัง จึงนับโทษคดีเรื่องหลังต่อจากโทษในคดีเรื่องก่อนนั้นไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความตามฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยล้วงกระเป๋าลักธนบัตร 14 บาทของนายวงศ์ไป จำเลยเคยต้องโทษจำคุก2 ปี ฐานชิงทรัพย์ พ้นโทษยังไม่เกิน 3 ปีมาทำผิดคดีนี้อีก และจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกันกับจำเลยในคดีดำ 1113/2498 เรื่องลักทรัพย์และคดีแดง 1107/2498 เรื่องหลบหนีการคุมขัง ของศาลแขวงพระนครใต้ซึ่งโจทก์ขอให้ศาลนับโทษต่อจากคดีทั้ง 2 เรื่องนั้นด้วย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิด ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา 288, 73, 59 โทษเพิ่มลดเสมอกัน คงให้จำคุก 3 ปี ให้เงินของกลางและใช้เงินของกลางและใช้เงินที่ยังขาด กับให้นับโทษต่อจากคดีดำ 1113/2498และคดีแดง 1107/2498 ของศาลแขวงพระนครใต้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรื่องเพิ่มโทษและลดโทษต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 เพราะเป็นคุณแก่ผู้ทำผิด พิพากษาแก้ให้ลงโทษ 3 ปี เพิ่มตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 73 กึ่งหนึ่งเป็น 4 ปี 6 เดือน ลด มาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงเป็น 2 ปี 3 เดือนส่วนการนับโทษต่อจากคดีดำ 1113/2498 นั้น นับต่อให้ไม่ได้เพราะยังทราบไม่ได้ว่า จำเลยได้รับโทษในคดีนั้นหรือไม่ นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยในคดีเรื่องนี้ต่อจากคดีดำ 1113/2498 ตามฟ้องของโจทก์ โดยยืนยันว่าสำนวนคดีเรื่องนั้น (คดีดำ1113/2498) ในเวลาต่อมาศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วและเป็นคดีแดงที่ 1169/2498 ของศาลแขวงพระนครใต้ศาลฎีกาเห็นว่าหลักในการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ ก็เมื่อสำนวนคดีอาญาดำ 1113/2498 ยังไม่ปรากฏว่าได้พิพากษาจึงไม่มีกำหนดโทษอันใดที่ศาลจะไปนับโทษต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่า “สำหรับคดีดำที่ 1113/2498 นั้นในเวลาต่อมา ศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ดังปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ 1169/2498 ของศาลแขวงพระนครใต้ก็ดีตามสำนวนก็ไม่ปรากฏว่า สำนวนคดีอาญาดำที่ 1113/2498 ได้พิพากษาไปแล้วก่อนคดีเรื่องนี้ จึงนับต่อให้ไม่ได้

อนึ่ง ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 3 เป็นเหตุให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 73 ไม่ได้เพราะพระราชบัญญัตินั้นได้ล้างมลทินให้แก่จำเลยสิ้นไปแล้ว

ศาลฎีกาพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปีลดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงเหลือ 1 ปี 6 เดือนคำขอเรื่องเพิ่มโทษให้ยกเสีย นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share