แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อบริษัทโจทก์ยอมรับผลการประเมินสำหรับปี 2516 และ 2517ของเจ้าพนักงานประเมินที่เรียกเก็บภาษีเงินได้และเงินเพิ่มจากโจทก์ โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน และได้ชำระค่าภาษีเงินได้และเงินเพิ่มตามที่เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้ชำระแก่จำเลยแล้วย่อมถือได้ว่าการประเมินดังกล่าวชอบแล้วและเป็นอันยุติ โจทก์จะรื้อฟื้นขึ้นมาโต้เถียง เป็นอย่างอื่นอีกโดยอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์มิได้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยังมียอด ขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี นำมาหักกับยอด กำไรสุทธิในปี 2518 อีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินเพิ่มจำนวน 137,265 บาท
จำเลยทั้งห้าให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ทำการประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี 2516 และ 2517 และสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และเงินเพิ่ม ซึ่งโจทก์ได้ชำระครบถ้วนแล้ว ตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ทราบ โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินแต่อย่างใด ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ในปี 2516 และ 2517 โจทก์มิได้มีกำไรสุทธิดังที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้และเงินเพิ่มจากโจทก์ ทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าพนักงานประเมินคิดคำนวณผิดพลาดคลาดเคลื่อนแท้จริงแล้วในปี 2516 โจทก์มีผลขาดทุนสุทธิเป็นเงิน 81,789 บาท 70 สตางค์ และก่อนหน้าปี 2516 โจทก์มียอดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 รอบระยะเวลาบัญชีเป็นเงิน 770,477 บาท 70 สตางค์ทำให้รวมเป็นผลขาดทุนสุทธิที่ยกไปในปี 2517 เป็นเงิน 852,267 บาท40 สตางค์ และในปี 2517 โจทก์มีผลขาดทุนสุทธิ 223,051 บาท 20 สตางค์รวมกับยอดขาดทุนสุทธิที่ยกมาแล้วจะเป็นยอดขาดทุนสุทธิที่ยกไปในปี2518 เป็นเงิน 1,075,318 บาท 60 สตางค์ สำหรับในปี 2518 โจทก์มีกำไรสุทธิ 501,746 บาท 86 สตางค์ เมื่อคิดหักกับยอดขาดทุนที่ยกมาแล้ว โจทก์ยังคงขาดทุนอีก โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
จำเลยนำสืบว่า จากผลการตรวจสอบและวิเคราะห์เอกสารทางบัญชีของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์มีผลกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518ทั้งสิ้น 599,145 บาท 45 สตางค์ และไม่ปรากฏว่ามียอดการขาดทุนสุทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลา 5 ปีบัญชีล่วงมาแล้วค้างอยู่อีก จำเลยที่ 1จึงได้แจ้งการประเมินเรียกเก็บภาาีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มจากโจทก์เป็นจำนวน 149,743 บาท 60 สตางค์ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้องแล้ว แต่ได้พิจารณาลดเงินเพิ่มลงร้อยละ 50
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าที่จำเลยคำนวณผลกำไรสุทธิของโจทก์ในปี 2518 เป็นเงิน 599,145 สตางค์ โดยไม่นำยอดขาดทุนซึ่งโจทก์อ้างว่ามีค้างอยู่ในรอบระยะเวลา 5 ปีบัญชีล่วงมาแล้วมาหักออกนั้น เป็นการไม่ชอบหรือไม่ โจทก์นำสืบว่ายอดขาดทุนสุทธิยกมาในปี 2518 เป็นจำนวน 1,075,318 บาท 60 สตางค์ เมื่อนำมาหักกับยอดกำไรสุทธิ 599,145 บาท 45 สตางค์แล้ว โจทก์ยังขาดทุนสุทธิอีกโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับปี 2518 แต่ข้อเท็จจริงรับกันว่าโจทก์ได้เสียภาษีเงินได้และเงินเพิ่มสำหรับปี 2516 และ 2517ครบถ้วนตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ทราบ โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินอย่างใด และจำเลยนำสืบว่าในการคิดผลกำไรสุทธิของโจทก์สำหรับปี 2516 นั้น จำเลยได้นำยอดขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2511 เป็นเงิน 700,000 บาทเศา มาหักออกจากยอดรายรับในปี2516 ตามกฏหมายแล้ว ดังนั้น จึงไม่มียอดขาดทุนสุทธิยกมาคงค้างอยู่ในปี 2518 อีก ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ยอมรับผลการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่เรียกเก็บภาษีเงินได้และเงินเพิ่มจากโจทก์สำหรับปี 2516 และ 2517 โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินและโจทก์ได้ชำระเงินค่าภาษีเงินได้และเงินเพิ่มตามที่เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้ชำระนั้นแก่จำเลยแล้ว ย่อมถือได้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวชอบแล้ว และเป็นอันยุติ โจทก์จะรื้อฟื้นขึ้นมาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นอีกโดยอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หาได้ไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่ายังมียอดขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 ค้างอยู่อีก โจทก์มิได้อุทธรณ์ว่ากำไรสุทธิของโจทก์ในปี 2518 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินคิดคินวณได้เป็นเงิน 599,145 บาท 45 สตางค์นั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินและมีคำสั่งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มสำหรับปี 2518 จึงเป็นการชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.