คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์ การที่เจ้าพนักงานประเมินไม่ยอมรับพิจารณาเอกสารบางฉบับที่โจทก์ส่งเนื่องจากไม่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบภาษีของโจทก์ และใช้เอกสารหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ มาพิจารณาประกอบการประเมินภาษีของโจทก์ ย่อมมีสิทธิทำได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร บัญชีกระแสรายวันที่เสียดอกเบี้ยซึ่งเบิกเกินบัญชีใช้ชื่อเจ้าของบัญชีว่า พ. หาได้ใช้ชื่อห้างโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีไม่ทั้งโจทก์มิได้แสดงรายการเสียดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ในงบกำไรขาดทุนของโจทก์ จึงถือได้ว่า การเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวเป็นการกระทำของ พ. ในฐานะส่วนตัว ดอกเบี้ยที่เสียไปดังกล่าวไม่อาจนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ได้ เพราะเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3) ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 ที่โจทก์อ้างว่าชำระเกินไปในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว ไม่อาจนำมาเครดิตภาษีกับภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2528 ที่ถูกประเมินในคดีนี้ เพราะเป็นการเครดิตภาษีต่างรอบระยะเวลาบัญชีกัน เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 69 ทวิ และโจทก์ไม่อาจขอหักกลบลบหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์สำหรับการประเมินภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 แต่ประการใด ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการตรวจสอบภาษีของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวหรือไม่ผลเป็นประการใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายพยงค์ ลบแย้ม หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ได้เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขานครปฐม เพียงแห่งเดียวใช้ชื่อบัญชีว่า “นายพยงค์ ลบแย้ม” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่างหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์กับธนาคารว่า เป็นการเปิดบัญชีเพื่อกิจการของโจทก์ จำเลยได้ตรวจสอบไต่สวนภาษีอากรของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527 ถึง พ.ศ. 2528 แล้วแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527โดยอ้างว่าโจทก์นำรายรับมาลงบัญชีไว้ไม่ครบถ้วน เมื่อปรับปรุงบัญชีกำไรขาดทุนแล้ว โจทก์ต้องชำระภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกเป็นเงิน 114,866 บาท ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง ทั้งมีภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจำเลยต้องคืนแก่โจทก์โจทก์ขอเครดิตกับภาษีที่ถูกประเมิน แต่เจ้าพนักงานประเมินไม่ยินยอมให้หักกลบลบหนี้ ซึ่งไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายถูกสั่งให้เสียภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ เงินเพิ่มเกินกว่าที่ควรต้องเสีย โจทก์อุทธรณ์การประเมินแล้ว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์โจทก์ ขอให้พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ยอมรับเอกสารบางฉบับที่ดจทก์นำส่งตามหมายเรียกและจำเลยประเมินภาษีอากรของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลบางส่วนที่มิใช่ได้มาจากการออกหมายเรียก การประเมินจึงไม่ชอบนั้น ได้ความว่าเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยอมรับนั้น เป็นเอกสารที่นางสาวเสาวลักษณ์ เหมพรหมราช เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบภาษีรายนี้ได้รับมาจากพนักงานของโจทก์และได้ตรวจสอบดูแล้วเพื่อเห็นว่าถูกต้องแล้วก็คืนให้พนักงานของโจทก์ไปเฉพาะเอกสารบางส่วนที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ต่อไป เช่นหลักฐานการซื้อสินค้าจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งนายทวีโชค สงวนศรี พนักงานของโจทก์นำมายื่นให้เพื่อขอตรวจสอบกับยอดซื้อ เมื่อนางสาวเสาวลักษณตรวจดูแล้วเห็นว่า เอกสารดังกล่าวตรงกับบัญชีซื้อก็คืนเอกสารดังกล่าวให้นายทวีโชคไป พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าฝ่ายจำเลยรับเอกสารของโจทก์และได้พิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์แล้ว จึงได้คืนเอกสารให้โจทก์ไป หาใช่จำเลยไม่ยอมรับเอกสารของโจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ นอกจากนี้ยังได้ความว่า นางสาวเสาวลักษณ์ได้ยินยอมให้นายพยงค์ ลบแย้ม หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์แก้ไขรายการที่ลงไม่ถูกต้องในเอกสาร ซึ่งนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าฝ่ายจำเลยได้ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาแสดงโดยให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยอมรับเอกสารเกี่ยวกับการจำหน่ายน้ำมันให้แก่ผู้แทนจำหน่ายของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6นั้น ก็ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2530 ซึ่งระบุราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระยะเวลาของเดือนพฤษภาคม 2530ไม่สามารถนำมาใช้กับกรณีนี้ซึ่งเป็นการประเมินภาษีของโจทก์เฉพาะรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527 ถึง พ.ศ. 2528 ได้เอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบภาษีรายนี้ ส่วนเอกสารอื่น ๆ ที่จำเลยไม่ยอมรับไว้พิจารณานั้นก็ปรากฏว่าเป็นเอกสารที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบภาษีของโจทก์แต่ประการใดการที่จำเลยไม่รับพิจารณาเอกสารบางฉบับตามที่โจทก์กล่าวอ้างจึงชอบแล้ว นอกจากนี้ในการตรวจสอบภาษีของโจทก์นั้น จำเลยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เอกสารเฉพาะที่โจทก์ส่งอ้างมาให้ทำการตรวจสอบแต่เพียงอย่างเดียว จำเลยมีสิทธิที่จะใช้เอกสารหรือพยานหลักญานอื่น ๆมาพิจารณาประกอบได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรแต่ประการใด
สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ยอมให้นำค่าดอกเบี้ยสำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ชอบหรือไม่นั้น คู่ความรับกันว่าบัญชีกระแสรายวันที่เสียดอกเบี้ยซึ่งเบิกเกินบัญชีนั้นใช้ชื่อเจ้าของบัญชีว่านายพยงค์ ลบแย้ม หาได้ใช้ชื่อห้างโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีไม่ ดังนั้น การเบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีดังกล่าวจึงน่าจะต้องถือว่าเป็นการกระทำของนายพยงค์ ลบแย้ม ในฐานะส่วนตัวนอกจากนี้โจทก์มิได้แสดงรายการเสียดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ในงบกำไรขาดทุนของโจทก์ ดังนั้น ที่จำเลยไม่ยอมให้ถือดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ โดยเห็นว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา65 ตรี (3) จึงชอบแล้ว ฯลฯ
สำหรับปัญหาเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายจำนวน18,825.13 บาท ที่โจทก์ขอให้เครดิตภาษี แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามนั้น โจทก์เองก็ยอมรับว่าเงินภาษีจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นค่าภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 แต่การประเมินภาษีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการประเมินภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 252และ พ.ศ. 2528 เท่านั้น ดังนั้นที่จำเลยไม่ยอมเครดิตให้โจทก์เพราะเป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 69 ทวิ เนื่องจากเป็นการเครดิตภาษีต่างรอบระยะเวลาบัญชีกันนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยที่โจทก์อ้างเรื่องหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์สำหรับการประเมินภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 ประการใด ทั้งยังไม่ปรากฏว่าได้มีการตรวจสอบภาษีของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526แล้วหรือไม่ ผลเป็นประการใด ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินและคำวินิจฉัยของจำเลยชอบแล้วนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายืน.

Share