คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พฤติการณ์ของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนยิงคนจำนวนมากคล้ายคนมีสติไม่เหมือนคนปกติก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้นำแพทย์มาเบิกความยืนยันและไม่มีเอกสารใด ๆ มาแสดงว่าจำเลยเป็นโรคจิต ศาลจึงไม่อาจที่จะวินิจฉัยได้เองว่า จำเลยมีจิตไม่ปกติ ทั้งจำเลยสามารถให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลได้ตามปกติโดยไม่
ปรากฏว่ามีอาการผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยดื่มสุราจนเมา การที่จำเลยกระทำความผิดไปจึงเนื่องมาจากดื่มสุรา ซึ่งจำเลยจะอ้างเป็นเหตุลดหย่อนผ่อนโทษตาม ป.อ. มาตรา 65 ไม่ได้ เพราะจำเลยสมัครใจดื่มเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 32, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย น. บิดาของนาย ว. ผู้ตายและนาง ศ. บุตรของนาย จ. กับนาง ท. ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกอนุญาตได้เฉพาะข้อหาความผิดต่อชีวิต)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91… รวมทุกกระทงความผิดแล้ว คงให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหามีลูกระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า…สำหรับฎีกาของจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมาย เพราะจำเลยไม่รู้สติและไม่รู้สำนึกในการกระทำนั้น เห็นว่า จำเลยให้การในชั้นสอบสวนไว้ว่า จำเลยรู้ตัวว่าได้ชักอาวุธปืนออกมาจากเอวแล้วจ่อยิงนางทองหยุ่น ไม่ทราบว่าตายหรือไม่ ต่อจากนั้นจำเลยเกิดอาการคลุ้มคลั่งจึงยิงคนไม่เลือกหน้าไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง และจำไม่ได้ว่ายิงไปกี่นัด ดังนี้ แสดงว่าขณะเกิดเหตุจำเลยรู้ตัวว่าได้กระทำอะไรลงไปบ้าง การเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของจำเลยในขณะนั้นจึงยังอยู่ในบังคับของจิตใจอันเป็นการกระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อหนึ่งทำนองว่าจำเลยกระทำความผิดในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยในข้อนี้จำเลยมีหน้าที่นำสืบเพื่อไม่ต้องรับโทษ แต่จำเลยนำสืบเพียงว่า การที่จำเลยไปปฏิบัติราชการในป่าทำให้ติดโรคไข้มาเลเรียซึ่งแพทย์ ผู้รักษาอาการของจำเลยก็ไม่ได้เบิกความสนับสนุน หลักฐานการเป็นคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับสุขภาพจิตของจำเลย ก็ไม่มีมาแสดง…วันก่อนเกิดเหตุจำเลยดื่มทั้งเบียร์และสุรา และในวันเกิดเหตุจำเลยดื่มสุราตั้งแต่เช้า ระหว่างเดินทางไปบ้านที่เกิดเหตุจำเลยดื่มสุราผสมยาทัมใจและเครื่องกระทิงแดงตลอดทาง เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุก็ร่วมวงดื่มสุรากับญาติๆจนเกิดอาการเมามาก ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจผู้ไปรับตัวจำเลยและแจ้งข้อหาว่า จำเลยมีสภาพเมามากจนไม่สามารถให้ปากคำได้ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 15 นาฬิกา หลังเกิดเหตุแล้วถึง 2 ชั่วโมงเศษ ข้อเท็จจึงน่าเชื่อว่า จำเลยกระทำความผิดเพราะความมึนเมาสุราจนไม่สามารถบังคับตนเองได้ และจำเลยสมัครใจ ดื่มสุราจนมึนเมาเอง จึงยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 ไม่ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษฐานมีลูกระเบิดที่นายทะเบียน ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น…

Share