คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ซึ่งประจำอยู่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 สามารถย้ายโจทก์ไปปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างจังหวัดใกล้เคียงได้ ดังนั้น คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ไปทำงานในโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำจังหวัดนนทบุรี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ไม่ยอมไปทำงานที่โครงการดังกล่าวแม้จะยังคงไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ทุกวัน ย่อมเป็นการละทิ้งหน้าที่สามวันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119(5)
สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นในวันที่สามไปแล้ว และนายจ้างย่อมไม่อาจให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่ ฉะนั้น การที่โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1ทุกวัน ระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างเวลาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างต่อมาบริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ได้โอนโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่บริษัทไทยสุมิคอน จำกัด มีอยู่ต่อโจทก์ โจทก์ทำหน้าที่พนักงานขับรถได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 10,880 บาท ต่อมาจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่มากกว่า 3 วัน ซึ่งไม่เป็นความจริงโจทก์ปฏิบัติงานให้จำเลยที่ 1 ตลอดเวลาดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า10,880 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าจ้างค้างจ่าย 2,901 บาท ค่าชดเชย108,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสม และเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสุมิโตโม ไทยสุมิคอน จำกัด 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ทำงานกับบริษัทสยามสปีริต ซัพพลายจำกัด เมื่อปี 2522 ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้โอนโจทก์ไปเป็นพนักงานบริษัทไทยสุมิคอน จำกัด จากนั้นบริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ย้ายโจทก์มาทำงานกับจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานขับรถทั้งที่สำนักงานใหญ่และบางช่วงที่มีโครงการก่อสร้างโจทก์ก็ต้องไปปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างตามคำสั่ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามปกติในหน้าที่ของโจทก์ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ไปประจำ ณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 จำเลยมีคำสั่งเป็นหนังสือแจ้งโจทก์อีกครั้งหนึ่ง โจทก์ทราบคำสั่งแล้วแต่มิได้ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ และมิได้ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ โจทก์ขาดงานตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม2543 ดังนั้น ในวันที่ 8 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 จึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 โจทก์มิได้มาทำงานให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างตามฟ้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงไม่ติดใจคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินสะสม และเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสุมิโตโม ไทยสุมิคอน จำนวน 35,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย คำขอในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงหมดไป เท่ากับโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 คงมีปัญหาให้วินิจฉัยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย108,800 บาท ค่าจ้าง 2,901 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 มกราคม 2543)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่นั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานขับรถ โดยบางครั้งทำงานที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร บางครั้งต้องปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในจังหวัดใกล้เคียง ต่อมาวันที่ 3 มกราคม2543 จำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรีตามคำสั่งเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งโจทก์ทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมไปโดยในระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2543 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ทุกวัน จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เกินกว่าสามวันทำงานติดต่อกันตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.2 เห็นว่า โจทก์ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถในกรุงเทพมหานคร จำเลยสามารถย้ายโจทก์ไปปฏิบัติงานโครงการก่อสร้างจังหวัดใกล้เคียงได้ การที่จำเลยที่ 1มีคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543งานในหน้าที่ของโจทก์ คือเป็นพนักงานขับรถของโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์มิใช่หน้าที่พนักงานขับรถของสำนักงานใหญ่ เมื่อโจทก์ไม่ยอมไปทำงานที่โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ในวันที่ 3ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543 แม้โจทก์จะยังคงไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในระหว่างเวลาดังกล่าวทุกวันก็ตาม การกระทำของโจทก์ย่อมเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจำเลยที่ 1 ย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(5)ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น

ปัญหาจะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อต่อมาของจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่มากกว่าสามวันตั้งแต่วันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม2543 จึงขอเลิกจ้างโจทก์นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 เป็นต้นไปก็ตาม แต่สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นไปในวันที่สามไปแล้ว และนายจ้างย่อมไม่อาจจะให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 8มกราคม 2543 โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ทุกวันโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างเวลาดังกล่าว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share