แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 309 เหตุเกิดในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 และความผิดตามมาตรา 284 นั้น อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ 1 ของประกาศดังกล่าวประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (6) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง แม้การกระทำผิดตามมาตรา 276 และ 309 นั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 9 มกราคม 2515 ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ เวลากลางคืนจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้ปืนยิงขู่เข็ญนางสาวโปยกับพวกให้ตกใจกลัวว่าเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ และจำเลยกับพวกใช้เท้าเตะนางสาวโปยล้มลง แล้วฉุดไปร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๑, ๒๘๔, ๓๐๙, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ข้อ ๗, ๙ และ ๑๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๔ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗๖ จำคุก ๑๒ ปี ตามมาตรา ๒๘๔ จำคุก ๓ ปี รวมจำคุก ๑๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีของโจทก์ตกอยู่ในฐานะสงสัยว่าจำเลยอาจไม่ใช่ผู้กระทำผิดพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๔, ๓๐๙ เกิดเหตุคดีนี้ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ ๑ ของประกาศดังกล่าว ประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (๖) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างแม้การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖และ ๓๐๙ นั้น ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๖ ลงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๕ ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้ จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน การที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีนี้มานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจศาล
จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ และคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย