คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 919/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำไหลสาธารณะ แต่ไม่มีน้ำตลอดปีและไม่เคยมีผู้ใดใช้เรือสัญจรไปมา ถือไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดินท้ายฟ้องซึ่งเป็นทางจำเป็นที่โจทก์ใช้เดินเข้าออกสู่ถนนหลวง จำเลยให้การว่าไม่เคยเห็นโจทก์เดินผ่านตามเส้นทางนี้เลย โจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้คู่ความท้ากันว่าให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทโดยทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานต่อไป

ศาลชั้นต้นตรวจที่พิพาทและให้คู่ความแถลงเพิ่มเติมไว้เพื่อประกอบดุลพินิจ แล้วเห็นว่าที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น พิพากษาให้จำเลยเปิดทางที่ปิดกั้นให้โจทก์ใช้ทางเดินนี้ต่อไป

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์ด้านตะวันออกติดลำห้วยสาธารณะและมีทางเดินสู่ทางสาธารณะได้อีกหลายทาง ทางในที่ดินของจำเลยจึงไม่ใช่ทางจำเป็นสำหรับโจทก์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับลำห้วยนั้น แผนที่ท้ายฟ้องโจทก์ระบุว่าเป็นทางน้ำไหลสาธารณะ แต่จำเลยมิได้กล่าวไว้ในคำให้การอย่างใดเลย จำเลยให้การถึงเรื่องทางว่า เคยเห็นโจทก์เดินผ่านที่ดินผู้อื่นที่ดินโจทก์ไม่ได้ถูกล้อม โจทก์มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ซึ่งไม่ยืนยันว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะ เมื่อศาลไปตรวจดูที่พิพาทโจทก์แถลงว่าลำห้วยนี้เป็นลำห้วยที่ไหลไปตกลำห้วยกาเต๊ะเป็นระยะยาว 5-6 กิโลเมตร และเป็นทางน้ำไหลวกเวียนไปไกลจึงจะบรรจบกับถนนยนตรการกำธร ไม่มีน้ำตลอดปี และไม่เคยมีผู้ใดใช้เรือสัญจรไปมาจำเลยก็ยังคงไม่แถลงเกี่ยวกับลำห้วยนี้ประการใด จำเลยแถลงแต่ว่าโจทก์มีทางเดินออกไปสู่ถนนยนตรการกำธรได้ทางใดบ้างเท่านั้นคดีไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าลำห้วยดังกล่าวเป็นทางสัญจรไปมาหรือเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(2) ดังที่จำเลยอ้าง และไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) หรือไม่ก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ทางที่พิพาทกันมีสภาพเป็นรูปถนนและเป็นเส้นทางตรงผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ออกไปสู่ถนนยนตรการกำธรโจทก์ได้ใช้ทางนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิที่จะใช้เป็นทางจำเป็นได้ พิพากษายืน

Share