คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

อัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินกำหนดไว้ 2 อัตรา คิดอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา และอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทั้งสองดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มหรือลดได้ตามที่โจทก์ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ เมื่อตามสัญญาดอกเบี้ยสูงสุดผิดเงื่อนไขมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยสูงสุดไม่ผิดเงื่อนไข แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยคู่สัญญาประสงค์จะให้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขตามสัญญาโดยกำหนดเป็นค่าเสียหายล่วงหน้าในรูปของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง
ในสัญญากู้เงินระบุว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่ผู้กู้จะต้องผ่อนชำระอันเนื่องมาจากการปรับอัตราดอกเบี้ยในภายหลัง ผู้กู้ก็ตกลงยินยอมด้วย ในการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระเพียงแต่ผู้ให้กู้แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้นซึ่งจากข้อสัญญาดังกล่าวมิได้กำหนดให้โจทก์มีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยได้พลการเองโดยมิต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าจะปรับดอกเบี้ยกับจำเลยเป็นเท่าใดแล้ว จึงต้องถือว่าโจทก์ยังคิดดอกเบี้ยแก่จำเลยในอัตราตามข้อสัญญาที่กำหนดไว้เดิม
โจทก์อุทธรณ์ขอดอกเบี้ยส่วนที่ขาดเนื่องจากศาลชั้นต้นลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 15.25 ต่อปี และ 18.50 ต่อปีลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 34,409.85 บาท ซึ่งโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามทุนทรัพย์ดังกล่าวจำนวน 860 บาท เท่านั้นแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาเกิน จึงต้องคืนส่วนที่เกินแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 600,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะทำสัญญาโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไว้ร้อยละ 14.25 ต่อปี สำหรับลูกค้าทั่วไปและอัตราร้อยละ 17.50 ต่อปีสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขจำเลยตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนเดือนละไม่น้อยกว่า 7,600 บาท ให้แล้วเสร็จภายใน 15 ปี เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 10 ครั้ง หลังจากนั้นไม่ชำระหนี้อีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 798,591.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.50 ต่อปีของต้นเงิน 588,340.55 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยให้การว่า จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์สม่ำเสมอโดยตลอด โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง โดยคิดเกินอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารโจทก์กำหนดไว้ จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 588,340.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2537 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 600,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราสูงสุดร้อยละ 14.25 ต่อปี สำหรับลูกค้าทั่วไป และอัตราร้อยละ 17.50 ต่อปีสำหรับลูกค้าผิดนัดหรือผิดเงื่อนไข จำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน ทุกวันที่ 7 ของเดือน นับแต่ทำสัญญาจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ 10 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน2538 จำนวน 7,600 บาท หลังจากนั้นไม่ชำระอีกเลย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15.25 และ 18.50 นับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 และวันที่ 1 มกราคม 2539 ตามลำดับที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลย เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ ตามสัญญากู้เงินข้อ 2 มีใจความว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไป ที่ผู้ให้กู้ประกาศกำหนดภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “อัตราสูงสุด” เว้นแต่เมื่อผู้กู้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไข ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่ผู้ให้กู้ประกาศกำหนดภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “อัตราสูงสุดผิดเงื่อนไข” แทนอัตราสูงสุดดังกล่าวข้างต้น ซึ่งขณะทำสัญญานี้อัตราสูงสุดเท่ากับร้อยละ 14.25 ต่อปี และอัตราสูงสุดผิดเงื่อนไขเท่ากับร้อยละ 17.50 ต่อปี แต่ต่อไปอัตราดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ผู้ให้กู้จะประกาศเป็นคราว ๆ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน ได้กำหนดไว้ 2 อัตราคิดอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา และอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทั้งสองดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มหรือลดได้ตามที่โจทก์ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ เมื่อตามสัญญาดอกเบี้ยสูงสุดผิดเงื่อนไขมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยสูงสุดไม่ผิดเงื่อนไข แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยคู่สัญญาประสงค์จะให้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขตามสัญญา โดยกำหนดเป็นค่าเสียหายล่วงหน้าในรูปของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการออกประกาศแจ้งอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดของโจทก์ทุกครั้ง โจทก์ได้แจ้งและส่งประกาศให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบและได้ปิดประกาศในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของโจทก์ทุกแห่ง การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ให้สูงขึ้นตามประกาศเมื่อจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไข โจทก์ย่อมทำได้โดยไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนนั้น เห็นว่า ตามสัญญากู้เงินข้อ 3 ระบุว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่ผู้กู้จะต้องผ่อนชำระอันเนื่องมาจากการปรับอัตราดอกเบี้ยตามข้อ 2 ในภายหลัง ผู้กู้ก็ตกลงยินยอมด้วยในการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่จะต้องผ่อนชำระ โดยเพียงแต่ผู้ให้กู้แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้น จากข้อสัญญาดังกล่าวมิได้กำหนดให้ธนาคารโจทก์มีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยได้พลการเอง โดยมิต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าจะปรับดอกเบี้ยกับจำเลยเป็นเท่าใดแล้ว จึงต้องถือว่าโจทก์ยังคิดดอกเบี้ยแก่จำเลยในอัตราตามข้อสัญญาที่กำหนดไว้เดิม คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอดอกเบี้ยส่วนที่ขาดเนื่องจากศาลชั้นต้นลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 15.25 ต่อปี และ 18.50 ต่อปี ลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 จนถึงวันฟ้องคำนวณแล้วเป็นเงิน 34,409.85 บาทซึ่งโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามทุนทรัพย์ดังกล่าวจำนวน 860 บาท เท่านั้นแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 19,965 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เกินแก่โจทก์”

พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 860 บาท แก่โจทก์

Share