แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายได้เสียเงินให้แก่มารดาของหญิงเพื่อขอขมามารดาของหญิง เนื่องจากชายได้พาหญิงหนีไปอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้สู่ขอตามประเพณี และชายกับหญิงนั้นก็อยู่กินกันต่อมาโดยมิได้มีเจตนาจะสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสินสอดหรือของหมั้น และมิใช่เป็นการให้เพราะมารดาหญิงหลอกลวงดังฟ้องโจทก์ด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนเงินดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ชอบพอรักใคร่กัน จำเลยที่ 2 ตามไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ 2 ส่งคนไปเจรจาจัดการขอขมาจำเลยที่ 1 ตามประเพณี และเรียกค่าสินสอดทองหมั้น 10,000 บาท โจทก์จึงทำพิธีขอขมา สิ้นค่าตระเตรียมงาน 900 บาท และมอบเงินค่าสินสอดทองหมั้น 10,000 บาทให้จำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 2 ไปบ้านจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้ตำรวจจับโจทก์ หาว่าโจทก์หลอกลวงจำเลยที่ 2 ไปเป็นภริยา ทำผิดทางอาญาและจำเลยที่ 2 ไม่ยอมเป็นภริยาโจทก์อีก เป็นการหลอกลวงเอาเงินโจทก์ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย 10,900 บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์กับพวกร่วมกันฉุดคร่าจำเลยที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร และโจทก์ได้ขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราจำเลยที่ 2 หลายครั้งทำให้จำเลยทั้งสองเสียหาย ต้องเสียชื่อเสียงจำเลยที่ 2 ต้องเสียสาว ทำให้สินสอดทองหมั้นที่จะได้ลดลงคิดเป็น 10,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้ติดต่อให้ฝ่ายโจทก์ขอขมา และไม่ได้เรียกร้องสินสอดทองหมั้น ขอศาลพิพากษายกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 รักใคร่โจทก์จึงติดตามไปอยู่เป็นภริยาโจทก์ จำเลยทั้งสองเสียหายอะไรบ้างก็มิได้กล่าวมาให้ชัด ค่าสินสอดทองหมั้นลดลงเพราะจำเลยที่ 1 ได้รับจากโจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 2 ตามไปอยู่กับโจทก์เอง จำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าสินสอดทองหมั้น 10,000 บาทจากโจทก์เพื่อให้โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 แล้ว ต่อมาจำเลยไม่ยอมให้จำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์หรือสมรสกับโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าสินสอดทองหมั้น 10,000 บาทแก่โจทก์ ค่าเสียหายอื่นจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 2 ตามโจทก์ไปเองจำเลยที่ 1 รับสินสอดทองหมั้น 10,000 บาทไปจากโจทก์จริง เนื่องจากทำพิธีแต่งงานระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 เมื่อแต่งงานแล้วโจทก์และจำเลยที่ 2 ก็ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อมา ไม่ได้คำนึงถึงการจดทะเบียนสมรส การที่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ในเวลาต่อมา จะถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ยอมสมรสกับโจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าสินสอดทองหมั้นคืนจากจำเลย จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ได้เสียเงินซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นค่าสินสอดทองหมั้นให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นการให้เพื่อขอขมาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ 2 เนื่องจากโจทก์ได้พาจำเลยที่ 2 หนีไปอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้สู่ขอตามประเพณีเท่านั้นและโจทก์จำเลยที่ 2 ก็อยู่กินต่อมาโดยมิได้มีเจตนาที่จะสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสินสอดหรือของหมั้น และมิใช่เป็นการให้เพราะจำเลยที่ 1 หลอกลวงดังฟ้องโจทก์ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนได้
พิพากษายืน