คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13157/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดค่าเสียหายเพิ่มจากที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดไว้ให้เป็นจำนวนตามคำฟ้องของโจทก์นั้น แม้จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ชำระเพิ่มขึ้นไม่ถึง 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 41 แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ส่งมายังศาลฎีกาแล้ว และปรากฏว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวจึงรับพิจารณาให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 44
จำเลยที่ 5 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ แต่อ้างถึงเหตุที่จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเพื่อให้ยกฟ้อง กรณีเช่นนี้ต้องยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เมื่อยื่นเป็นคำแก้อุทธรณ์มาโดยไม่ชอบ จึงไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 472,192 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 486,842.88 บาท กับชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 472,192 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 284,793.40 บาท ให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดเป็นเงินจำนวน 246,713.40 บาท ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงินจำนวน 38,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินที่จำเลยแต่ละรายต้องรับผิด นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยแต่ละรายใช้แทนโจทก์เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังยุติว่า โจทก์รับประกันภัยการขนส่งสินค้าเครื่องจักรไอน้ำแบบท่อพร้อมอุปกรณ์ของบริษัทพรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด จากโรงงานของผู้ขายที่เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน จนถึงโรงงานของผู้เอาประกันภัย ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ในวงเงิน 10,489,497.76 บาท โดยจำเลยที่ 1 รับเป็นผู้ดำเนินพิธีการทางศุลกากร และขนสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงงานของผู้เอาประกันภัย มีจำเลยที่ 2 และที่ 4 นำรถบรรทุกรวม 6 คัน ไปบรรทุกสินค้าเครื่องจักรพิพาทให้ ปรากฏว่ารถบรรทุกของจำเลยที่ 2 ที่บรรทุกส่วนล่างของตัวเครื่องจักร เบียดราวสะพานก่อนเข้าโรงงานผู้เอาประกันภัย ทำให้แผ่นโลหะล็อกเครื่องจักรคดงอ และรถบรรทุกของจำเลยที่ 4 ที่บรรทุกส่วนบนของตัวเครื่องจักร ชนคานสะพานลอยข้ามถนน ทำให้ท่อรับน้ำหนัก หน้าแปลนสำหรับต่อเกจวัดแรงดัน หน้าแปลนสำหรับต่อระบบไอน้ำ หน้าแปลนสำหรับต่อท่อจ่ายไอน้ำสำรองและหน้าแปลนสำหรับต่อท่อจ่ายน้ำไปใช้งานชำรุด ผู้เอาประกันภัยให้ผู้ผลิตดำเนินการซ่อมแซม แต่ผู้ผลิตให้บริษัทเจียงซู ไตฮู บอยเลอร์ จำกัด ดำเนินการให้ สิ้นเงินไป 12,400 ดอลลาร์สหรัฐ โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็นเงิน 472,192 บาท และเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย
มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนจำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดเพิ่มจากที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดไว้ให้เป็นจำนวนตามคำฟ้องของโจทก์ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ 284,793.40 บาท โดยให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิด 246,713.40 บาท กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิด 38,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่แต่ละคนต้องรับผิดนับแต่วันที่ 25 มกราคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งห้ารับผิดชำระเงินแก่โจทก์เพิ่มขึ้นโดยให้ชำระเต็มตามคำฟ้องจำนวน 486,842.88 บาท ดังนี้ แม้ในส่วนความรับผิดตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 เมื่อคิดดอกเบี้ยตามคำพิพากษาจนถึงวันฟ้องรวมด้วยอีก 8,836.39 บาท แล้วก็ตาม จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ชำระเพิ่มขึ้นไม่ถึง 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 41 โจทก์อุทธรณ์ในข้อนี้สรุปว่า ก่อนซ่อมแซมเครื่องจักรผู้เอาประกันภัยแจ้งแก่จำเลยที่ 1 ถึงจำนวนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม และแจ้งด้วยว่าไม่สามารถซ่อมแซมโดยช่างคนไทยกับใช้อะไหล่ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยไม่ได้ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้าน และการที่ผู้เอาประกันภัยตกลงให้ผู้ผลิตเครื่องจักรเป็นผู้ซ่อมแซมมิใช่เพราะเหตุผลเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยเหตุผลดังที่พยานโจทก์เบิกความเป็นทำนองเดียวกันอีกหลายประการคือ ผู้ผลิตเป็นผู้ออกแบบเครื่องจักรจึงรู้ลักษณะของวัสดุที่นำมาผลิตได้เป็นอย่างดี รู้จุดอ่อนและจุดแข็งของโครงสร้างทั้งหมด สามารถปรับวิธีการซ่อมได้ และผู้ผลิตสามารถรับประกันได้ หากเกิดปัญหาการใช้งานในภายหลัง ผู้เอาประกันภัยก็สามารถเรียกร้องให้ผู้ผลิตแก้ไขได้ ดังนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบว่าผู้เอาประกันภัยไม่อาจหาผู้ซ่อมเครื่องจักรพิพาทในประเทศไทยได้ และการซ่อมโดยช่างในประเทศไทยจะไม่ปลอดภัยอย่างไร นั้น เป็นกรณีที่ยังไม่ได้พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ให้ครบถ้วน และตามพยานหลักฐานของโจทก์แสดงให้เห็นได้ว่า การที่ผู้เอาประกันภัยขอให้ผู้ผลิตสินค้าซ่อมแซมตามเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างสมเหตุสมผล เพราะสินค้าเครื่องจักรไอน้ำซึ่งย่อมมีความร้อนสูงนี้หากไม่อยู่ในสภาพที่ดีก็จะเกิดผลเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่ใช้เครื่องจักรนี้ผลิตสินค้าและที่สำคัญอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ทั้งการได้รับความมั่นใจด้วยการรับประกันจากผู้ผลิตก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน เมื่อผู้ผลิตสั่งการควบคุมให้บริษัทเจียงซู ไตฮู บอยเลอร์ จำกัด มาดำเนินการซ่อมแซมให้ในประเทศไทยก็ย่อมเป็นที่มั่นใจในประสิทธิภาพการซ่อมแซมและการรับรองดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้เครื่องจักรไอน้ำมีขนาดใหญ่มีราคาสูง การซื้อชิ้นส่วนอะไหล่ที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและการจัดช่างมาซ่อมแซมเพียง 5 คน มีเหตุผลที่เหมาะสมต่อการซ่อมแซมครั้งนี้ และฝ่ายจำเลยมีเพียงกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 4 เพียงคนเดียวที่มาเบิกความ ซึ่งก็เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ จากการคาดคิดของพยานเอง ปราศจากรายละเอียดและเหตุผลให้น่าเชื่อ และไม่มีพยานหลักฐานโต้แย้งว่ารายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการซ่อมแซมตามรายละเอียดในใบเสนอราคา มีส่วนใดรายการใดไม่ถูกต้องไม่จำเป็นหรือราคาส่วนใดสูงผิดปกติ ดังนี้ย่อมไม่มีเหตุผลที่เพียงพอจะฟังว่าค่าซ่อมแซมตามที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินสมควรแล้วควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้รับเพียงร้อยละ 60 ของค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้องมา ดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามา โดยแม้คดีในส่วนอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นก็ตาม แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ส่งมายังศาลฎีกาแล้ว และปรากฏว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวจึงรับพิจารณาให้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 44 ซึ่งอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น ดังนี้จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างขนส่งสินค้าทั้งหมดจากผู้เอาประกันภัยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในต้นเงินเป็นจำนวน 472,192 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นผู้รับจ้างขนส่งต่อเท่านั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดเฉพาะในส่วนที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องจักรส่วนล่าง ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 ต้องร่วมรับผิดเฉพาะค่าเสียหายของสินค้าในค่าอะไหล่และค่าซ่อมรายการที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 5 ถึงที่ 12 ดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยส่วนของความรับผิดไว้ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิด 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินบาทในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 38.08 บาท เป็นเงิน 91,392 บาท และจำเลยที่ 4 กับที่ 5 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 373,184 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ แต่อ้างถึงเหตุที่จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเพื่อให้ยกฟ้อง กรณีเช่นนี้ต้องยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเมื่อยื่นเป็นคำแก้อุทธรณ์มาโดยไม่ชอบ จึงไม่วินิจฉัยให้
อนึ่ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มีเพียง 193,213.09 บาท ดังนั้น ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นนี้โดยคิดจากทุนทรัพย์ 447,565.78 บาท จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่โจทก์เสียเกินมาให้แก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 472,192 บาท โดยในจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระแก่โจทก์นี้ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดด้วยเพียง 91,392 บาท และจำเลยที่ 4 กับที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยเพียงจำนวน 373,184 บาท กับให้จำเลยทั้งห้าชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินในจำนวนที่แต่ละคนต้องชำระแก่โจทก์ นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คือเฉพาะในส่วนค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่คิดเกินจากทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ 193,213.09 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้นอกจากที่ศาลสั่งคืนให้เป็นพับ

Share