แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 7 กับพวกร่วมกันผลิตเมทแมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายกับมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองในวาระเดียวกัน ทั้งวัตถุแห่งการกระทำความผิดต่างก็เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และยึดได้ในคราวเดียวกันถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้องและยังมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยได้เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106, 116 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91ริบของกลางทั้งหมดให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเว้นแต่อาวุธปืน2 กระบอก และกระสุนปืนของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 และที่ 7 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 7มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ, 62 วรรคแรก, 89, 106 (ที่ถูกประกอบด้วยประมวลอาญา มาตรา 83) เฉพาะจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสามฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์จำคุกคนละ 17 ปีฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองจำคุกคนละ 4 ปีลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนจำคุก 9 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี 9 เดือน จำเลยที่ 2ที่ 4 ถึงที่ 7 คนละ 21 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 7คนละหนึ่งในสาม จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 คนละกึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 14 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 7 คนละ 14 ปีจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 คนละ 10 ปี 6 เดือนริบของกลางคืนอาวุธปืนและกระสุนปืนแก่เจ้าของยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 เวลา 8.45 นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 ได้พร้อมด้วยของกลางซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการผลิตวัตถุออกฤทธิ์รวม 25 รายการ และวันที่ 22 สิงหาคม 2535 เวลาประมาณ 10 นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 7 ได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 7 มีความผิดฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6ไม่อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 7 ว่า จำเลยที่ 7 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ถึงที่ 6 กระทำความผิดฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์หรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 7ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 กระทำความผิดฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ส่วนที่จำเลยที่ 7ฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบานั้น เห็นว่า ความผิดเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 นี้เป็นภัยร้ายแรงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่ 7 มานั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี และการที่ศาลล่างทั้งสองนำคำรับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมาลดโทษให้จำเลยที่ 7 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้น ก็นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 7 มากแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 7 ในความผิดฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์เมทแอมเฟตามีนกับฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์อีเฟดรีนไว้ในครอบครองมาคนละกรรมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะการที่จำเลยที่ 7 กับพวกร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายกับมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองนั้นเป็นการกระทำความผิดในวาระเดียวกัน ทั้งวัตถุแห่งการกระทำความผิดคือเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนต่างก็เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2และยึดได้ในคราวเดียวกันจึงถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และปัญหาการปรับบทดังกล่าวแม้จำเลยที่ 7 จะมิได้ฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยได้เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 7 มีความผิดฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์เมทแอมเฟตามีนกับมีความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์อีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันผลิตและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 ทวิ, 89 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 17 ปีสำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนอีก9 เดือนแล้วเป็นจำคุก 17 ปี 9 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 7 คนละหนึ่งในสามและลดโทษให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 11 ปี 10 เดือนจำเลยที่ 2 และที่ 7 คนละ 11 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 4ถึงที่ 6 คนละ 8 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์