คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13138/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากตาม ป.วิ.พ. (เดิม) ที่ใช้บังคับในขณะนั้น ซึ่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคดีมโนสาเร่มาใช้บังคับ และตาม ป.วิ.พ. มาตรา 195 ประกอบมาตรา 206 บัญญัติให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานได้ และการที่ศาลชั้นต้นพิจารณาจากคำฟ้อง เอกสารท้ายฟ้องและเอกสารที่โจทก์ส่งเป็นพยานหลักฐาน แล้วฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเป็นเงิน 13,313,965.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงินรวมค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 11,654,243.02 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 4,501,708.62 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 4,327,548.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยปีละ 22,625.15 บาท ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี นับแต่ปี 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่13806, 13807, 13808 ตำบลวัดท่าพระ (ที่ถูก (เกาะท่าพระ) ด้วย) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 7964 ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันว่า จำเลยทั้งสองขอสละข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ทั้งหมดโดยยอมรับผิดตามฟ้องโจทก์และไม่ติดใจสืบพยาน หากจำเลยทั้งสองตกลงปรับลดหนี้กับโจทก์ไม่ได้ ในนัดหน้าจะขอทำยอมกับโจทก์ หรือยอมให้โจทก์สืบพยานไปฝ่ายเดียวโดยไม่ติดใจซักค้าน
จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม 13,313,965.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงินรวมค่าเบี้ยประกันภัย 11,654,243.02 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 4,501,708.12 บาท (ที่ถูก 4,501,708.62 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14 ต่อปี ของต้นเงิน 4,327,547.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยปีละ 22,625.15 บาท ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นับแต่ปี 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 13806, 13807, 13808 ตำบลวัดท่าพระ(ที่ถูก (เกาะท่าพระ) ด้วย) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 7964 ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ออกขายทอดตลาด หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยประกันอัคคีภัยนับแต่ปี 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสองสละข้อต่อสู้ดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏจากเอกสารที่ได้ส่งต่อศาลว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์หรืออำนาจในการให้กู้ยืมอันเป็นมูลคดีที่เป็นข้อพิพาทคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โดยไม่เรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมจากโจทก์เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงแจ้งชัดในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องแม้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่เมื่อจำเลยสละประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องแล้ว ประเด็นดังกล่าวนี้จึงเป็นอันยุติไป ที่ศาลชั้นต้นไม่ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยนั้น เป็นการชอบแล้ว และคดีนี้ ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับในขณะนั้น มาตรา 196 วรรคสอง บังคับให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคดีมโนสาเร่มาใช้บังคับ และตามมาตรา 195 ประกอบมาตรา 206 วรรคสอง บัญญัติให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานได้ เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาจากคำฟ้อง เอกสารท้ายฟ้องและเอกสารที่โจทก์ส่งเป็นพยานหลักฐานได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง โดยไม่จำต้องเรียกพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติม เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share