แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ทั้งสองมาทำงานที่การเคหะแห่งชาติ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 5 ให้โอนกิจการของธนาคารอาคารสงเคราะห์เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจตามมาตรา 27(1)และ (2) ตามพ.ร.บ. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 ให้แก่การเคหะแห่งชาติเมื่อมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น การนับอายุการทำงานจึงต้องนับต่อเนื่องกันไป แต่เนื่องจากข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้จ่ายเงินสงเคราะห์แก่พนักงานหรือลูกจ้างประจำเท่านั้น
เมื่อโจทก์ที่ 1 มีฐานะเป็นลูกจ้างประจำของธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่แล้วก่อนโอนมาเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จึงต้องนับอายุการทำงานติดต่อกัน ส่วนโจทก์ที่ 2เมื่อโอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลยนั้นยังเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นลูกจ้างประจำภายหลังจึงต้องนับอายุการทำงานตั้งแต่วันได้รับแต่งตั้งเป็นลูกจ้างประจำ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเรียกค่าชดเชยและเงินสงเคราะห์จากจำเลยซึ่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุเกษียณอายุ
จำเลยให้การว่าได้จ่ายเงินสงเคราะห์ให้โจทก์ทั้งสองสำนวนครบถ้วนแล้ว ส่วนเงินค่าชดเชยไม่ต้องจ่ายเพราะจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรทางเศรษฐกิจ จึงไม่อยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและจ่ายเงินสงเคราะห์แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองเคยทำงานอยู่กับธนาคารอาคารสงเคราะห์มาก่อน โดยโจทก์ที่ 1 ทำงานเป็นลูกจ้างประจำตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 ส่วนโจทก์ที่ 2 ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวก่อนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2516 ต่อมาวันที่ 12กุมภาพันธ์ 2516 โจทก์ทั้งสองโอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลยโดยโจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างประจำส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างชั่วคราวก่อนแล้วได้รับการแต่งตั้งเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2519 โจทก์ทั้งสองทำงานกับจำเลยเรื่อยมาและได้พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529
เมื่อโจทก์ทั้งสองออกจากงานจำเลยได้จ่ายเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 30 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 115,788.40 บาทโดยคิดระยะเวลาให้นับแต่วันที่ 12กุมภาพันธ์ 2516 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับโอนโจทก์ที่ 1 มาเป็นลูกจ้างประจำ (พนักงานประจำ) ของจำเลยจนถึงวันเกษียณอายุ และจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 50,000 บาทโดยคิดระยะเวลาให้นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2519 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ที่ 1 ได้รับการแต่งตั้งเป็นลูกจ้างประจำ (พนักงานประจำ) ของจำเลยจนถึงวันเกษียณอายุส่วนค่าชดเชยนั้นจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ทั้งสองจึงได้ฟ้องคดีนี้
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าการจ้างงานของจำเลยอยู่ภายใต้บังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานการที่โจทก์ทั้งสองพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้างที่จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนปัญหาเรื่องเงินสงเคราะห์นั้น ‘พิเคราะห์แล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่316 ข้อ 5 ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้แก่การเคหะแห่งชาติรวมทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจตามมาตรา 27 (1) และ (3)แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์พ.ศ.2496 ดังนั้นการที่โจทก์ทั้งสองมาทำงานที่การเคหะแห่งชาติก็เพราะผลของการโอนตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว มิใช่โจทก์ทั้งสองลาออกจากหน่วยงานเดิมมาสมัครเข้าทำงานกับจำเลยใหม่ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 577 บัญญัติว่านายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ได้ เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วยการโอนสิทธิการจ้างเช่นนี้ฐานะความเป็นลูกจ้างของลูกจ้างย่อมไม่สิ้นสุดลง ซึ่งต่างกับกรณีการเลิกจ้างสำหรับโจทก์ทั้งสองมาทำงานกับจำเลยเพราะผลของการโอน เมื่อมิได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่นการนับอายุการทำงานจึงต้องนับต่อเนื่องกันไปแต่อย่างไรก็ตามสิทธิของโจทก์ทั้งสองที่จะได้รับเงินสงเคราะห์จากจำเลยตามข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์นั้น ข้อ 6 ทวิ กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนหรือค่าจ้างสุดท้าย คูณด้วยอายุการทำงานสำหรับ ‘อายุการทำงาน’ตามข้อบังคับเดียวกันข้อ 4 (6) นั้นหมายความว่าระยะเวลาตั้งแต่วันที่ผู้ปฏิบัติงานเข้าประจำทำงานในการเคหะแห่งชาติ ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้างประจำตามงบทำการจนถึงวันสุดท้ายก่อนพ้นจากตำแหน่งในการเคหะแห่งชาติซึ่งเมื่อได้พิเคราะห์ข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 32 ดังกล่าวมาแล้วเห็นว่า สำหรับโจทก์ที่ 1 นั้นเนื่องจากก่อนโอนมาทำงานกับจำเลยโจทก์ที่ 1 มีฐานะเป็นลูกจ้างประจำของธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่แล้ว เมื่อโอนมาเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จึงต้องนับอายุการทำงานติดต่อกันที่ศาลแรงงานกลางคำนวณเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 32 สำหรับโจทก์ที่ 1 โดยนำเอาอายุการทำงานของโจทก์ที่1 จากธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมกับอายุการทำงานกับจำเลยนั้นถูกต้องแล้ว สำหรับโจทก์ที่ 2 นั้นได้ความว่าเมื่อโจทก์ที่ 1โอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2516 นั้นโจทก์ที่ 2 ก็ยังเป็นลูกจ้างชั่วคราวของจำเลยอยู่เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน2519 ฉะนั้น สิทธิของโจทก์ที่ 2 ในเรื่องอายุการทำงานเพื่อคำนวณเงินสงเคราะห์ จึงต้องเป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 32 ข้อ 4 (6) ดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อคิดอายุการทำงานของโจทก์ที่ 2 นับถึงวันเกษียณอายุแล้วคงมีอายุการทำงานเพียง10 ปีกับ 122 วันเท่านั้นเศษของปีไม่ถึง 183 วันจึงไม่รวมนับเมื่อคำนวณเงินสงเคราะห์ของโจทก์ที่ 2 โดยเอาจำนวน 10 ปีคูณด้วยเงินเดือนสุดท้าย 4,805 บาทแล้วโจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เพียง 48,050 บาทซึ่งเกินกว่าสิทธิที่โจทก์ที่2 จะได้รับ การที่ศาลแรงงานกลางนำอายุการทำงานของโจทก์ที่2 ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2516 ซึ่งเป็นวันที่โอนมาทำงานกับจำเลยมารวมด้วยเพื่อคำนวณเงินสงเคราะห์ของโจทก์ที่ 2นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยสำหรับโจทก์ที่ 2 ในเรื่องเงินสงเคราะห์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินสงเคราะห์จำนวน15,971 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง’.