คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6747/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง จึงมีผลให้ในการฎีกา โจทก์ต้องกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ทั้งหมดเช่นเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ข้อความที่โจทก์บรรยายมาในฎีกา ถือเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว จึงเป็นฎีกาที่ชัดแจ้ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้มีอำนาจของโจทก์ถอนเงินครั้งสุดท้ายจนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินจำนวน 2,994,594.52 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 2,697,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ 2 และจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 จากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 110,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 แก้ฎีกาก่อนว่า โจทก์ลอกอุทธรณ์มาใช้เป็นฎีกาจึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ในการฎีกาจึงมีผลให้ต้องกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ทั้งหมดเช่นเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ไม่ว่าในปัญหาเรื่องลายมือชื่อผู้เบิกถอนเงิน ผู้มอบฉันทะและระดับการใช้ความระมัดระวังในการทำหน้าที่ของพนักงานของจำเลยที่ 1 ที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกานี้ ดังนั้น ข้อความที่โจทก์กล่าวบรรยายมาในฎีกา จึงถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และเป็นฎีกาที่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แล้ว ฎีกาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินจากบัญชีและผู้มอบฉันทะในใบถอนเงินเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ เห็นว่า เหมือนหรือคล้ายคลึงกันจึงจ่ายเงินในบัญชีให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะไปเท่านั้น เห็นว่า พยานบุคคลที่โจทก์นำมาเป็นพยานล้วนรับราชการในตำแหน่งสำคัญและยืนยันว่า ลายมือชื่อในใบเบิกถอนเงินไม่ใช่ของตนโดยให้รายละเอียดถึงข้อแตกต่างของลายมือชื่อดังกล่าวกับมีบันทึกของจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินในใบถอนเงิน จึงมีน้ำหนักมั่นคงดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่นำสืบว่าลายมือชื่อดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายคลึงกับตัวอย่างลายมือชื่อที่ให้ไว้ แม้ในคดีอาญาจะมีการส่งใบถอนเงินดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินและผู้มอบฉันทะว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของนายกวีและนายพิพัฒน์หรือไม่ โดยผู้เชี่ยวชาญไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันก็ตาม ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงความเห็นตามหลักวิชาการเท่านั้น ไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลต้องฟังตามข้อสันนิษฐานหรือข้อพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญก่อน หรือผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรแล้วศาลต้องฟังเสมอไป เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ตามประเด็นข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยตามที่กล่าวมาแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินจากบัญชีพิพาทและผู้มอบฉันทะในใบถอนเงินเป็นลายมือชื่อปลอม ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดบางส่วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์ไม่อุทธรณ์ในส่วนนี้ให้ชัดแจ้งว่า ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบอย่างไร คงอุทธรณ์และฎีกาขอดอกเบี้ยตามฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 2,697,500 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องมิให้คิดเกินกว่า 297,094.52 บาท ตามที่โจทก์ขอ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 100,000 บาท

Share