แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผู้ที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลจะต้องถูกโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายหรือจะต้องใช้สิทธิทางศาล กล่าวคือ ต้องมีกฎหมายรองรับว่ามีสิทธิหรือหน้าที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์แย่งสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทจาก พ. ผู้เป็นเจ้าของภายหลังจากที่ พ. จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่จำเลยก่อนที่จำเลยฟ้องบังคับให้ พ. ชำระหนี้และดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินพร้อมบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดแก่ผู้มีชื่ออันมีผลให้สัญญาจำนองระงับตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 (3) (4) เท่ากับโจทก์รับว่าจำเลยจดทะเบียนรับจำนองจาก พ. ผู้เป็นเจ้าของไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยจึงเป็นเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนือที่ดินและบ้านพิพาท ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่ตนได้ การที่โจทก์จะเข้าแย่งการครอบครองหรือได้สิทธิครอบครองในภายหลังหรือไม่ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้ผู้จำนองหลุดพ้นหรือเป็นการถอนจำนอง อันมีผลให้สัญญาจำนองระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 (3) (4) ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ทั้งตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดต่อกฎหมายหรือใช้สิทธิอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายประการใด การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์หรือมีเหตุที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาล โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 9336 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมบ้านทาวน์เฮาส์เลขที่ 71/16 บนที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างนางสาวหรือนางพิกุลกับจำเลย ให้จำเลยหรือผู้ยึดถือส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 9336 ให้แก่โจทก์ หรือเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อแก้ไขชื่อทางทะเบียนเป็นของโจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาโดยให้เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจออกใบแทนแก่โจทก์และให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่าขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 9336 พร้อมบ้านทาวน์เฮาส์เลขที่ 71/16 มีชื่อนางสาวหรือนางพิกุลเป็นเจ้าของ ซึ่งนางสาวหรือนางพิกุลจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2543 จำเลยฟ้องบังคับให้นางสาวหรือนางพิกุลชำระหนี้ และดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาดแก่ผู้มีชื่อเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2548
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ผู้ที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลจะต้องถูกโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย หรือจะต้องใช้สิทธิทางศาล กล่าวคือ ต้องมีกฎหมายรับรองว่ามีสิทธิหรือหน้าที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ปรากฏตามคำฟ้องบรรยายว่า โจทก์แย่งสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทจากนางสาวหรือนางพิกุลผู้เป็นเจ้าของภายหลังจากที่นางสาวหรือนางพิกุลจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 แต่เป็นเวลาก่อนจำเลยฟ้องบังคับให้นางสาวหรือนางพิกุลชำระหนี้และดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินพร้อมบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดแก่ผู้มีชื่ออันมีผลให้สัญญาจำนองระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (3) (4) เท่ากับโจทก์รับว่า จำเลยจดทะเบียนรับจำนองจากนางสาวหรือนางพิกุลผู้เป็นเจ้าของไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยจึงเป็นเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนือที่ดินและบ้านพิพาท ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่ตนได้ การที่โจทก์จะเข้าแย่งการครอบครองหรือได้สิทธิครอบครองในภายหลังหรือไม่ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้ผู้จำนองหลุดพ้นหรือเป็นการถอนจำนอง อันมีผลให้สัญญาจำนองระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (3) (4) ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ทั้งตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายหรือใช้สิทธิอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายประการใด การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์หรือมีเหตุที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท