คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไป แต่ได้ใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเงินจำนวน 54,332.25 บาท ของผู้เสียหายไม่เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 และให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353 ลงโทษตามมาตรา 353 จำคุก 10 เดือน ปรับ 2,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 5 เดือน ปรับ 1,000 บาท รอการลงโทษจำคุก 1 ปีปรากฏว่าจำเลยได้ใช้เงินที่จำเลยยักยอกไปให้โจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคำขอให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ร่วมอีก

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา

โจทก์ร่วมยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลฎีกาสั่งว่า ฎีกาโจทก์ร่วมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง รับฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่งและศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมประกอบกับคำรับของจำเลยฟังได้เพียงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปใช้ในกิจการอื่นแต่ได้ชดใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว ฉะนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก

พิพากษายืน

Share