คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1310/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานว่าด้วยเงินทดแทน ได้กำหนดขั้นตอนการเรียกร้องและการสั่งการในเรื่องเงินทดแทนไว้แล้ว.โจทก์ชอบที่จะดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเสียก่อน ไม่ชอบที่จะฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งของพนักงานเงินทดแทนทันทีโดยมิได้อุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมแรงงานก่อน เพราะเป็นการขัดกับขั้นตอนในการที่จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8 วรรคท้าย
คำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนของอธิบดีกรมแรงงานที่สั่งยืนตามคำสั่งของพนักงานเงินทดแทน ไม่ลบล้างคำสั่งของพนักงานเงินทดแทนที่ยังมีผลบังคับโจทก์ผู้เป็นนายจ้างอยู่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานเงินทดแทน และคำสั่งอุทธรณ์ของอธิบดีกรมแรงงานพร้อมกันได้
อธิบดีกรมแรงงานเป็นผู้แทนของกรมแรงงานอันเป็นนิติบุคคลซึ่งมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับปัญหาแรงงาน โดยกระทำในนามของกรมแรงงานนั่นเอง กรมแรงงานย่อมอาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในกรณีที่ผู้แทนกระทำการดังกล่าวแทนได้
ลูกจ้างโจทก์ได้รับอันตรายในขณะเดินทางไปเข้าเวรสำรองฉุกเฉินพนักงานขับรถของโจทก์ ณ ที่ทำการแขวงสารวัตรรถจักรธนบุรี ถือไม่ได้ว่าลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่โจทก์ เพราะยังมิได้ปฏิบัติหน้าที่หรือลงมือทำงานให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2524 จำเลยที่ 1 และที่ 2ในฐานะพนักงานเงินทดแทนได้ออกคำสั่งเงินทดแทนที่ 393/2524 ลงวันที่ 2ตุลาคม 2525 สั่งให้โจทก์จ่ายเงินทดแทนให้แก่นายประพันธ์ ผะอบแก้ว ลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขับรถไฟ ประจำแขวงสารวัตรรถจักรธนบุรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2524 เวลา 16.50 นาฬิกา ขณะที่นายประพันธ์เดินทางจากบ้านพักที่นิคมรถไฟธนบุรีและข้ามทางรถไฟผ่านตู้รถสินค้าที่ตัดอยู่เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรสำรองฉุกเฉิน ณ ที่ทำการแขวงสารวัตรรถจักรธนบุรี เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์กำลังเปลี่ยนตู้รถสินค้าดังกล่าวตู้รถสินค้าได้เคลื่อนเข้ากระทบกัน นายประพันธ์จึงใช้มือขวาผลักรถทำให้ขอพ่วงหนีบนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยมือขวาของนายประพันธ์ขาดถึงโคนนิ้ว ต้องรับการรักษาพยาบาลและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2524 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2524 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2524 ยืนตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยทั้งสามมิชอบด้วยกฎหมายเพราะนายประพันธ์มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้โจทก์และมิใช่เป็นการป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเงินดแทนที่ 393/2524 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2524 และคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2524

จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมิให้มีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524 ผู้มีอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนคืออธิบดีกรมแรงงาน และนายเจริญ ศิริพันธ์ รองอธิบดีกรมแรงงาน ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีเป็นผู้ออกคำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 3 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาอุทธรณ์เงินทดแทนหรือมีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 และประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 60 ได้กำหนดขั้นตอนของการอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเงินทดแทนไว้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานหรือไม่ก็ได้ หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งก็สามารถฟ้องต่อศาลให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ทันที ในกรณีที่ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่ออธิบดีและอธิบดีมีคำสั่งแล้วฝ่ายที่ไม่พอใจก็นำคดีมาสู่ศาล เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนของอธิบดีได้เช่นเดียวกัน แต่จะฟ้องพนักงานเงินทดแทนร่วมด้วยไม่ได้เพราะคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนของอธิบดีลบล้างคำสั่งของพนักงานเงินทดแทนไม่มีผลบังคับต่อไปอีก โจทก์จึงไม่มีมูลคดีที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้เช่นกัน และการที่นายประพันธ์ประสบอันตรายก็เนื่องจากการทำงานให้โจทก์หรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้โจทก์ คำสั่งเงินทดแทนของพนักงานเงินทดแทนและคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามและการที่นายประพันธ์ประสบอันตรายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการเข้าเวรสำรองฉุกเฉินและมิใช่เนื่องจากการทำงานให้โจทก์ พิพากษาเพิกถอนคำสั่งเงินทดแทนที่ 393/2524 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2524 และคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2524 ของจำเลยทั้งสาม

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคสุดท้ายได้บัญญัติขั้นตอนในการที่จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานไว้ว่าในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์บัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้จะดำเนินการในศาลแรงงานได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้แล้ว และกรณีเงินทดแทนนี้ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ได้กำหนดขั้นตอนการเรียกร้องและการสั่งไว้แล้ว โดยข้อ 48 กำหนดว่าในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานเงินทดแทนแห่งท้องที่ที่นายจ้างมีสำนักงานหรือหน่วยงานตั้งอยู่ตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายใน 15 วัน นับแต่วันที่นายจ้างทราบ และข้อ 49 กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยยื่นข้อเรียกร้องเงินทดแทนจากนายจ้างต่อพนักงานเงินทดแทนที่นายจ้างมีสำนักงาน หรือหน่วยงานตั้งอยู่ตามแบบที่อธิบดีกำหนดโดยไม่ชักช้า เมื่อได้มีการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ประกาศดังกล่าวข้อ 56, 57 กำหนดให้พนักงานเงินทดแทนดำเนินการสอบสวน และมีคำสั่งเกี่ยวกับเงินทดแทน และข้อ 60 กำหนดว่า ในกรรีที่นายจ้างหรือผู้ยื่นคำร้องเรียกร้องเงินทดแทนไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเงินทดแทน ให้มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่ออธิบดีกรมแรงงานได้ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่ออธิบดีพิจารณาอุทธรณ์และมีคำสั่งแล้ว ถ้าฝ่ายใดไม่เห็นชอบให้นำคดีไปสู่ศาลได้ดังนี้จึงเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากจำเลยที่ 1และที่ 2 มีคำสั่งเงินทดแทนที่ 393/2524 ทันทีดังอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ได้ต้องดำเนินการอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมแรงงานก่อนเมื่อคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนของอธิบดีกรมแรงงานไม่เป็นที่พอใจโจทก์ โจทก์จึงจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีคำสั่งเงินทดแทนดังกล่าวแล้วย่อมมีผลผูกพันให้โจทก์ต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่นายประพันธ์ และต่อมาอธิบดีกรมแรงงานมีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524 ยืนตามคำสั่งของพนักงานเงินทดแทน คำสั่งของพนักงานเงินทดแทนจึงยังคงมีผลบังคับโจทก์อยู่โจทก์ซึ่งไม่เห็นชอบด้วย ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเงินทดแทนที่ 393/2524 ของพนักงานเงินทดแทนพร้อมกับขอให้เพิกถอนคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนของจำเลยที่ 3 ได้

ปัญหาที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าการวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทนเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมแรงงานซึ่งเป็นบุคคลผู้สั่งอุทธรณ์โดยเฉพาะและเอกเทศ มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนหรือในนามกรมแรงงาน จำเลยที่ 3มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเงินทดแทนและมิได้มีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่ากรมแรงงานเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับปัญหาแรงงานและการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยแรงงานโดยตรงกรมแรงงานในฐานะนิติบุคคลย่อมจะกระทำการดังกล่าวได้ก็โดยมีบุคคลธรรมดาเป็นผู้กระทำแทนซึ่งได้แก่อธิบดีกรมแรงงาน ดังนี้แม้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานจะกำหนดให้อุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเงินทดแทนต่ออธิบดีกรมแรงงานก็เป็นที่เห็นได้ว่าอธิบดีกรมแรงงานกระทำในฐานะเป็นผู้แทนหรือในนามของกรมแรงงงานนั่นเองดังนี้ เมื่ออธิบดีกรมแรงงานได้มีคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 67/2524 แล้วโจทก์ซึ่งไม่เห็นชอบด้วย ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวที่อธิบดีกรมแรงงานได้กระทำไปได้

ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า นายประพันธ์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้โจทก์ คำสั่งเงินทดแทนและคำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนจึงชอบด้วยเหตุผลแล้วนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าวันที่นายประพันธ์ลูกจ้างของโจทก์ประสบอันตราย นายประพันธ์มีหน้าที่จะต้องเข้าเวรสำรองฉุกเฉินพนักงานขับรถของโจทก์ ณ ที่ทำการแขวงสารวัตรรถจักรธนบุรี ตั้งแต่เวลา 16 นาฬิกาถึง 24 นาฬิกา แต่ขณะเดินจากบ้านพักของตนที่นิคมรถไฟธนบุรีเพื่อไปเข้าเวรสำรองฉุกเฉิน ได้ข้ามทางรถไฟผ่านช่วงตู้รถสินค้าที่ตัดอยู่เผอิญเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์สับเปลี่ยนตู้รถสินค้าตู้รถสินค้าได้เคลื่อนกระทบกันนายประพันธ์จึงใช้มือขวาผลักรถ เป็นเหตุให้ขอพ่วงหนีบนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยของมือขวาขาดถึงโคนนิ้ว ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลา 32 วัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวนายประพันธ์ยังเดินทางไปไม่ถึงที่ทำงานแขวงสารวัตรรถจักรธนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรสำรองฉุกเฉิน ยังมิได้เริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่หรือลงมือทำงานให้แก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่านายประพันธ์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่โจทก์

พิพากษายืน

Share