แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยบุกรุกก่อสร้างถนนล้ำเข้าไปในที่ดินของมารดาโจทก์ขุดคูและปักป้ายชื่อถนนในที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาจากการสืบสิทธิของมารดา และขณะที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วจำเลยก็ยังรุกล้ำที่ดินพิพาทอยู่อีก จึงถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย และจำเลยกระทำละเมิดต่อเนื่องกันตลอดมา ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
แม้ที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือจากการรุกล้ำของจำเลยไม่พอปลูกสร้างอาคารตึกแถวตามปกติได้เพราะมีเนื้อที่เหลือเพียงประมาณ 11 ตารางวา แต่โจทก์ก็พอจะใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในทางอื่นได้ใช่ว่าที่ดินของโจทก์จะหมดค่าไปโดยสิ้นเชิง โจทก์จะคิดเป็นค่าเสียหายเท่ากับราคาที่ดินทั้งแปลงไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับมรดกที่ดินมาจากมารดาเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๒๕ และเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๒๖ โจทก์ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้ผู้มีชื่อในราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท ครั้นเมื่อได้ตรวจสอบราคาที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยได้ทำถนน คูระบายน้ำ และปักป้ายชื่อถนนรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องเลิกสัญญากับผู้ซื้อโจทก์ไม่สามารถสร้างอาคารลงไปในที่ดินของโจทก์ได้ และไม่มีผู้ใดยอมซื้อที่ดินแปลงนี้ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าที่ดิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้สร้างถนน คูระบายน้ำและปักป้ายรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่สร้างในทางสาธารณะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยก่อสร้างก่อนที่ที่ดินจะตกเป็นของโจทก์ ฟ้องของโจทก์เกิน ๑ ปี จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่ได้เสียหายเพราะสามารถสร้างอาคารได้ตามปกติซึ่งโจทก์จะต้องเว้นที่เป็นแนวทางเท้าอีก ๒ เมตร ซึ่งจำเลยได้สร้างถนน คูระบายน้ำและปักป้ายในระยะ ๒ เมตรดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าที่ดินเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ค่าขึ้นศาลให้เท่าที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ก่อสร้างถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ ๓ รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามที่ปรากฏในแผนที่วิวาทกลาง ปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยบุกรุกเข้าทำถนน ขุดคู และปักป้ายในที่ดินพิพาทเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องกันตลอดมา ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยก่อสร้างถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ ๓ มาตั้งแต่ที่ดินพิพาทยังเป็นของนางโผ้ห้องมารดาโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาจากการสืบสิทธิของมารดา และขณะที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วยังปรากฏว่าจำเลยยังรุกล้ำที่ดินพิพาทอยู่อีกตลอดมา จึงถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย
ส่วนเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยฎีกาว่าไม่ควรเกิน ๓,๐๐๐ บาทและโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือจากจำเลยรุกล้ำ ไม่พอแก่การปลูกสร้างอาคารเป็นการเสียหายที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทอยู่มุมถนนสาธารณประโยชน์ตัดกันเป็นสี่แยกโดยอยู่ด้านทิศตะวันตกของถนน จากทิศเหนือจดทิศใต้ยาวขนานไปตามแนวถนน ๑๘ เมตร และกว้าง ๔.๖๐ เมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คิดเป็นเนื้อที่ตามตราจอง ๒๐ ตารางวา จำเลยได้ก่อสร้างถนนและคูระบายน้ำรุกล้ำเข้าไปทางทิศใต้ ๑.๒๘ เมตร ทางด้านทิศเหนือรุกล้ำ ๒.๐๔ เมตร ซึ่งไม่ตรงกับแนวถนนตามสี่แยกทางด้านทิศเหนือคงเหลือที่ดินพิพาทของโจทก์ทางด้านทิศเหนือกว้าง ๒.๕๒ เมตร และเหลือด้านทิศใต้กว้าง ๓.๓๒ เมตร แม้ที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือจากการรุกล้ำของจำเลยไม่พอปลูกสร้างอาคารตึกแถวตามปกติได้เพราะมีเนื้อที่เหลือเพียงประมาณ ๑๑ ตารางวาเศษ ดังที่โจทก์อ้างก็ตาม แต่โจทก์ก็พอจะใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในทางอื่นได้ ใช่ว่าที่ดินของโจทก์จะหมดค่าไปโดยสิ้นเชิง ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน.