คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1310/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าให้ผู้อื่นเข้าอยู่ในห้องเช่าชั้นบน โดยผู้เข้าอยู่เสียเงินให้ผู้เช่าเล็กๆ น้อยๆทดแทนบุญคุณ ไม่ถือเป็นเงินค่าเช่า ไม่เรียกว่าเช่าช่วง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2489 เป็นต้นมา จำเลยได้เช่าเรือนเลขทะเบียนที่ 103/1 ตำบลวัดตึก อำเภอสัมพันธ์วงศ์ จังหวัดพระนครของโจทก์ ค่าเช่าเดือนละ 20 บาท แล้วเพิ่มเป็น 26 บาท โดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ต่อมาจำเลยได้ติดค้างชำระค่าเช่าเป็นเวลา 2 เดือนติด ๆ กัน เป็นเงิน 52 บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยขอผัดว่ายังไม่มีให้ และปรากฏว่า จำเลยผิดสัญญาเช่า โดยจำเลยเอาเรือนเช่าไปแบ่งให้นางหลิ่นหรือหลั่น แซ่ห่ำ เช่าช่วง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งจำเลยยังได้เก็บเงินกินเปล่าจากนางหลิ่นไป 300 บาท เก็บค่าเช่าช่วงจากนางหลิ่นเดือนละ 30 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาเช่า ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ โจทก์และผู้แทนได้แจ้งเดือนให้จำเลยชำระค่าเช่า 2 เดือน คือ เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2496 เป็นเงิน 52 บาทและให้ออกจากสถานที่เช่า จำเลยไม่ยอมออกและไม่ชำระค่าเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากเรือนของโจทก์ กับขอให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 2 เดือน และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ 26 บาท

จำเลยให้การว่า ได้เช่าเรือนของโจทก์ตามฟ้องจริง แต่จำเลยมิได้เจตนาที่จะติดค้างค่าเช่า หากโจทก์เองบิดพลิ้วไม่ยอมรับค่าเช่าเองโดยประสงค์จะไม่ให้จำเลยเช่าต่อไป นางหลิ่นหรือหลั่นอยู่ด้วยในฐานะผู้อาศัย จำเลยไม่ได้ให้เช่าช่วง โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย

ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าเรือนพิพาท 1 หลัง คิดค่าเช่าเดือนละ 26 บาท ไม่ได้ทำสัญญาเช่าต่อกันจำเลยค้างค่าเช่าไม่ชำระ 2 เดือน นางหลิ่นบอกโจทก์ว่า ได้เสียเงินกินเปล่าให้จำเลย 300 บาท และเสียค่าเช่าเดือนละ 30 บาท จำเลยว่านางหลิ่นเป็นพี่น้องมาอาศัยจำเลยอยู่

จำเลยนำสืบว่า ได้เช่าเรือนโจทก์ โดยเสียค่าเช่าเดือนละ 31 บาท แต่โจทก์ออกใบรับเงินค่าเช่าให้เดือนละ 26 บาท นางหลิ่นพยานโจทก์มาขออาศัยอยู่ด้วย จำเลยก็ให้อาศัยอยู่ชั้นล่างจำเลยไม่เคยเก็บค่าเช่าหรือเรียกกินเปล่าจากนางหลิ่นเลยจำเลยไม่เคยค้างค่าเช่าต่อโจทก์ จำเลยเอาค่าเช่าไปให้โจทก์ที่บ้าน โจทก์ไม่ยอมรับ จำเลยจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจจักรวรรดิ์โจทก์จะขึ้นค่าเช่า และเรียกเงินกินเปล่าจากจำเลย ๆ ไม่มีให้

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องจำเลยติดค้างค่าเช่า 2 เดือนนั้น ได้ความว่า จำเลยเอาค่าเช่าไปให้โจทก์ ๆ ไม่ยอมรับจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า เรื่องให้เช่าช่วงแม้โจทก์จะมีคำนางหลิ่นเป็นพยาน จะเชื่อฟังคำนางหลิ่นนักก็ไม่ได้เพราะจำเลยและนางหลิ่นเคยมีเรื่องทะเลาะกันเสมอ จนถึงกับจำเลยเคยไล่นางหลิ่นออกไปจากบ้าน นางหลิ่นก็ไม่ยอมไปโจทก์หามีหลักฐานอื่นแต่ประการใดไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้แบ่งเรือนรายนี้ให้นางหลิ่นเช่าช่วงไป ส่วนการบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าโจทก์มีแต่คำโจทก์คนเดียว และไม่ปรากฏว่า จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่า จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ โดยข้าหลวงยุติธรรมได้รับรองให้โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีน่าเชื่อได้ว่า จำเลยเอาเรือนพิพาทชั้นบนให้นางหลิ่นเช่าช่วงจริง เป็นการผิดเงื่อนไขของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า และผิดสัญญาต่อโจทก์ ๆ ฟ้องขับไล่จำเลยได้ ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยก่อน จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากเรือนพิพาทและให้จำเลยเสียค่าเช่าที่ค้าง 2 เดือน คือ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน2496 เดือนละ 26 บาท และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ 26 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะออกจากเรือนพิพาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เรื่องจำเลยได้ติดค้างชำระค่าเช่า 2 เดือนติด ๆ กันจริงหรือไม่ ได้ความว่า ตามปกติโจทก์เป็นผู้ไปเก็บค่าเช่าจากจำเลยเอง แต่สำหรับเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2496 โจทก์ไม่ไปเก็บ โดยโจทก์ต้องการเรียกเงินค่ากินเปล่าและขึ้นเงินค่าเช่าจากจำเลย ๆ ไม่ยอมให้ โจทก์จึงไม่เก็บค่าเช่าจากจำเลย ๆ นำค่าเช่าไปให้โจทก์ๆ ก็ไม่ยอมรับ จำเลยยังได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจจักรวรรดิ์ ร้อยตำรวจตรีประยูรโกมารกุล ณ นคร ก็มาเบิกความสนับสนุนจำเลยอยู่ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 เดือนติด ๆ กัน

ในข้อที่โจทก์หาว่า จำเลยแบ่งเรือนไปให้นางหลิ่นเช่าช่วงนั้นโจทก์นำนางหลิ่นมาสืบว่า ได้เช่าช่วงบ้านจากจำเลย ๆ แบ่งให้นางหลิ่นอยู่ชั้นบน โดยจำเลยเรียกเงินกินเปล่า 300 บาท และค่าเช่าเดือนละ 30 บาท จะควรฟังพยานปากนี้เพียงไร ได้ความว่า นางหลิ่นกับจำเลยเกิดทุ่มเถียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนถึงกับจำเลยไล่นางหลิ่นออกจากบ้าน แต่นางหลิ่นไม่ยอมไปและนางหลิ่นก็รับว่า ถ้าจำเลยออกจากบ้านนี้ไปแล้วนางหลิ่น ก็จะขอเช่าบ้านนี้จากโจทก์ต่อไปเมื่อนางหลิ่นไม่ถูกกับจำเลยอย่างแรงจนถึงกับจำเลยไล่นางหลิ่นออกไปจากบ้านอย่างหนึ่ง และนางหลิ่นหวังประโยชน์ที่จะเช่าบ้านนี้จากโจทก์โดยตรงอีกอย่างหนึ่ง จึงต้องฟังพยานปากนี้ด้วยความระมัดระวังพยานประกอบนางหลิ่นนางกีมีไก๋และนางหงุ่นออยก็เป็นบุตรนางหลิ่นจึงไม่มีผลแตกต่างกันอย่างไรทั้งที่ได้รับคำบอกเล่าจากนางหลิ่นทางทะเบียนสำมะโนครัวบ้านพิพาทปรากฏว่า จำเลยเป็นเจ้าบ้านนางหลิ่นและครอบครัวเป็นผู้อาศัย อยู่รวมด้วยกันมาเป็นเวลาถึง 7 ปี ก็ไม่ปรากฏการเช่าช่วงอย่างไร เพิ่งจะปรากฏขึ้นก็เมื่อจำเลยขับไล่นางหลิ่นออกไป เป็นความจริงดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ที่ว่า จำเลยกับนางหลิ่นมิได้เป็นญาติเกี่ยวข้องอะไรกัน ไม่น่าที่จำเลยจะให้นางหลิ่นอาศัยอยู่เปล่า ๆ นางหลิ่นอาจให้จำเลยบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการทดแทนบุญคุณในความเอื้อเฟื้อต่อกันในการที่นางหลิ่นได้เข้ามาอยู่และได้รับความร่มเย็นจากจำเลยเป็นเวลาช้านาน จะเรียกว่าเป็นเงินค่าเช่าตามกฎหมายหาได้ไม่ นอกจากนี้โจทก์หามีหลักฐานอื่นแต่ประการใดไม่ จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้แบ่งเรือนรายนี้ให้นางหลิ่นเช่าช่วงไป เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้ค้างชำระค่าเช่า และไม่ได้แบ่งให้นางหลิ่นเช่าช่วงไปแล้วปัญหาที่ว่า โจทก์ได้บอกกล่าวเลิกการเช่ากับจำเลยหรือไม่ก็ไม่จำต้องพิจารณาต่อไป ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแทนจำเลย 3 ศาล เป็นเงิน150 บาท

Share