คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 บัญญัติเป็นหลักข้อบังคับไว้ว่าในการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่มีหลายสิ่งด้วยกัน ให้แยกขายทีละสิ่งต่อเนื่องกันไป แต่ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะจัดขายอสังหาริมทรัพย์สองสื่งหรือกว่านั้นขึ้นไปรวมขายไปด้วยกันในเมื่อเป็นที่คาดหมายได้ว่าเงินรายได้ในการขายจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น
ที่ดินของจำเลยอยู่ติดกันแยกออกเป็นสองโฉนด เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายรวมขายไปคราวเดียวกันโดยบันทึกว่าเนื่องจากบ้าน 1 หลังปลูกคร่อมที่ดินทั้ง 2 โฉนดเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้น ผู้ซื้อขอให้ขายรวมกันทั้งหมด จึงได้ตกลงขายรวมกันไปในคราวเดียว เช่นนี้ การที่ผู้ซื้อมีน้อยคนแล้รวมขายทรัพย์ไปในคราวเดียวโดยตามใจผู้ซื้อซึ่งอ้างว่าจะได้ราคาดีขึ้นนั้น นอกจากจะฝ่าฝืนหลักของการขายทอดตลาดทรัพย์แล้ว ยังถือเอาความต้องการของผู้ซื้อเป็นประมาณ โดยมิได้ใช้สามัญสำนึกว่า ผู้ซื้อย่อมประสงค์ซื้อของให้ได้ในราคาถูกที่สุดเป็นธรรมดามาประกอบการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยบ้าง จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพึงคาดหมายได้ว่าการขายทรัพย์ของจำเลยรวมกันจะเพิ่มรายได้มากขึ้น
แม้การที่จำเลยไม่ได้มาระวังผลประโยชน์ของตนในวันขายทอดตลาดทรัพย์ ย่อมไม่ทำให้การขายนั้นเสียไปก็ดี แต่ถ้ามีพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปแสดงว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้นั้นโน้มน้าวไปในทางรวบรัดกดราคา จำเลยก็มีสิทธิร้องขอดให้ขายใหม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องมาจากจำเลยยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำมากเพราะมีแต่พวกโจทก์เท่านั้นสมรู้กันเข้าสู้กดราคา(โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา ๗,๕๐๐ บาท) ทรัพย์ของจำเลยอยู่ในชุมนุมชนที่ทำการค้าอย่างน้อยก็มีราคาถึง ๕๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยไม่ได้มาในวันขายทอดตลาด เพราะจำเลยสำคัญผิดเรื่องวันขาย เนื่องจากการขายทรัพย์นี้โจทก์ผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคา จำเลยขอวางเงินชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมด เพื่อศาลสั่งระงับการบังคับคดีเสีย ศาลชั้นต้นสั่งว่าการขายทอดตลาดมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว เป็นความผิดของจำเลยที่ไม่ระวังผลประโยชน์ ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั้งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าาเมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์ซื้อทรัพย์ไว้โดยไม่สุจริต ทั้งโจทก์ก็ยังไม่โอนทรัพย์นั้นไปยังบุคคลภายนอก จำเลยย่อมมีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นได้ พิพากษายืน(ฎีกาที่ ๙๘๗/๒๕๐๕)
ศาลชั้นต้นไต่สวนตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวแล้วฟังว่า การขายทอดแล้วทรัพย์ของจำเลยไม่มีพฤติการณ์ใดแสดงให้เห็นความไม่สุจริต มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว สั่งยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การเข้าสู้ราคาซื้อทรัพย์ส่อไปในทางไม่สุจริต พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า แม้การที่จำเลยไม่ได้มาระวังผลประโยชน์ของตนในวันขายทอดตลาดทรัพย์ ย่อมไม่ทำให้การขายนั้นเสียไปก็ดี แต่ตามพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่า การประมูลซื้อทรัพย์ที่ขายทอดตลาดนี้มีเหตุน่าสงสัยว่าจะเป็นการสมรู้กันกดราคาซื้อ ดังจะเห็นได้ว่า เพียงแต่ที่ดินโฉนดที่ ๘๘๐๐ เนื้องที่ ๓๕ ตารางวาของจำเลยใน พ.ศ.๒๕๐๖ โจทก์ก็ตกลงให้ราคาแก่จำเลยถึง ๒๕,๐๐๐ บาท แม้ราคานี้รวมถึงที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวาด้วยก็ตาม แต่ก็พอจะเห็นได้ว่าราคาธรรมดาเฉพาะที่ดินโฉนดนั้นก็ควรจะได้ไม่ลดต่ำลงไปมากนัก โจทก์นำสืบว่า ที่บริเวณเดียวกันนี้ ถ้าขายราคาตารางวาละ ๓๔๐ บาท ก็มีผู้จะซื้อ และที่ดินจำเลยทั้งสองโฉนดนี้ นายกุหลาบจะซื้อในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งที่ดินของนายย้อยซึ่งเดิมเป็นผืนเดียวกับของจำเลย เมื่อ ๔ ปีล่วงมาแล้วแบ่งายไปราคาตารางวาละ ๒๐๐ บาทส่วนที่เหลือ ๖๓ ตารางวา ขายไปเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๐๕ ราคาตารางวาละ ๕๕๐ บาท ดังนั้น ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า ราคาธรรมดาของที่ดินจำเลยอย่างต่ำก็ควรเป็นตารางวาละ ๓๐๐-๔๐๐ บาท จริงอยู่ราคาในการขายทอดตลาด อาจลดลงจากราคาปกติได้ แต่ก็ไม่ควรจะตกต่ำอย่างมากมาย เพราะเมื่อหักราคาบ้าน ๑,๕๐๐ บาทตามที่กะไว้ออกแล้ว ราคาที่ดินคิดเฉลี่ยก็เหลือเพียงตารางวาละ ๘๘ บาทเศษเท่านั้น นอกจากนี้ในวันขายทอดตลาดก็ไม่มีคนอื่นเข้าสู้ราคา นอกจากตัวโจทก์ ทนายโจทก์และนายย่งปิง นายเจริญ ซึ่งเบิกความรับว่ารู้จักขอบพอกับบิดาโจทก์ ทำให้มีเหตุผลน่าระแวงว่าการประมูลซื้อทรัพย์ของจำเลยครั้งนี้ จะไม่ได้กระทำกับอย่างตรงไปตรงมา
อีกประการหนึ่ง ที่ดินของจำเลย แม้จะอยู่ติดกันก็แยกอกเป็นสองโฉนด แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายรวขายไปคราวเดียว โดยบันทึกว่าเนื่องจากบ้าน ๑ หลังปลูกคร่อมที่ดินทั้ง ๒ แปลง เพื่อให้ได้ราคาดีขึ้นขอให้ขายรวมกันทั้งหมด จึงได้ตกลงขายรวมกันไปในคราวเดียว การขายทอดตลาดทรัพย์นี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๔ บัญญัติเป็นหลักข้อบังคับไว้ว่า ในการขายทรัพย์สินที่มีหลายสิ่งด้วยกัน ให้แยกขายทีละสิ่งต่อเนื่องกันไป แต่ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะจัดขายอสังหาริมทรัพย์สองสิ่งหรือกว่านั้นขึ้นไปรวมขายไปด้วยกันกันได้ในเมื่อเป็นที่คาดหมายได้ว่า เงินรายได้ในการขายจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น การที่ผู้ซื้อมีน้อยคนแล้วรวมขายทรัพย์ไปในคราวเดียวโดยตามใจผู้ซื้อซึ่งอ้างว่าจะได้ราคาดีขึ้นนั้น นอกจากจะฝ่าฝืนหลักของการขายทอดตลาดทรัพย์แล้ว ยังถือเอาความต้องการของผู้ซื้อเป็นประมาณ โดยมิได้ใช้สามัญสำนึกว่า ผู้ซื้อย่อมประสงค์ซื้อของให้ได้ในราคาถูกที่สุดเป็นธรรมดามาประกอบการขายทอดตลาดของจำเลยอยู่บ้าง จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะถึงคาดหมายได้ว่าการขายทรัพย์ของจำเลยร่วมกันจะเพิ่มเงินรายได้มากขึ้น
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปดังกล่าวแล้ว เหตุผลแสดงว่า การขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้นี้ โน้มน้าวไปในทางรวบรัดกดราคา จำเลยมีสิทธิ์ขอให้ขายใหม่ได้ พิพากษายืน

Share