แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลจะใช้อำนาจตามความในมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นจะต้องพิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ศาลจะสั่งตัดเสียนั้น ถ้าได้นำมาสืบแล้วอาจจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นการแน่นอนว่าไม่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงไปได้แล้ว ก็ชอบที่จะได้ให้โอกาสคู่ความนำพยานนั้นเข้าสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ
พฤติการณ์ที่ยังถือไม่ได้ว่าคู่ความประวิงคดีและเป็นความผิดของคู่ความเองที่ไม่ดำเนินการให้ได้พยานมาสืบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๙๗๐ จากนายชลิตเจ้าของเดิม ในที่แปลงนี้บางส่วนมีห้องเเลขที่ ๔๘๙ ปลูกอยู่ การที่จำเลยที่ ๑ เข้าอยู่ในห้องนี้และยินยอมให้จำเลยที่ ๒,๓ คงอยู่ทำการค้าต่อมานั้น จำเลยหามีสิทธิอย่างใดไม่ เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์เลย โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนห้องไป จำเลยก็เพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับให้จำเลยที่ ๑ รื้อห้องนี้ และให้จำเลยทั้งสามตลอดจนบริวารออกไปจากที่ดิน กับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีและจำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการเช่าให้จำเลยด้วย
โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นให้จำเลยนำสืบก่อน เมื่อสืบพยานจำเลยไปบ้างแล้วได้สั่งตัดพยานจำเลยที่จำเลยยังติดใจจะสืบอยู่ แล้วสืบพยานโจทก์ต่อไปจนเสร็จสิ้น และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รื้อห้องพิพาทออกไป ให้จำเลยทั้งสามตลอดจนบริวารออกไปจากที่ดิน และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย
มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งทำความเห็นแย้ง
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่เชื่อฟังตามที่จำเลยตั้งรูปนำสืบนั้น อาศัยแต่พยานของจำเลยซึงยังนำเข้าสืบไม่สิ้นกระแสความมาวินิจฉัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลชั้นต้นสั่งตัดเสียไม่ให้สืบนายชลิตและนายข้อย โดยอ้างว่าจำเลยประวิงคดี(มิได้อ้างเหตุอื่นใดอีกเลย) ดังนี้ ก็ต้องถือว่าถ้าจำเลยมิได้ประวิงคดีแล้ว ศาลชั้นต้นก็คงต้องให้จำเลยนำเข้าสืบ ส่วนศาลอุทธรณ์ที่ไม่วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยชอบหรือไม่ ได้อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๐๔ ซึ่งตามนัยของกฎหมายมาตรานี้ก็จะต้องพิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ศาลสั่งตัดเสียนั้น ถ้าได้นำมาสืบแล้วอาจจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ ถ้าเป็นการแน่นอนว่าไม่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงได้แล้วก็ไม่จำต้องฟังพยานนั้นต่อไป แต่ถ้าไม่แน่นอนเช่นนั้นแล้ว ก็ชอบที่จะได้ให้โอกาสคู่ความนำพยานนั้นเข้าสืบต่อไปจนสิ้นกระแสควม ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้แล้วตามนัยแห่งบทกฎหมายที่ว่านี้ กลับเห็นว่าหาเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้ไม่ นายชลิตและนายช้อยทีจำเลยอ้างและศาลชั้นต้นสั่งตัดเสียนั้นอยู่ในฐานะที่จะให้ความกระจ่างได้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยว่าจำเลยประวิงคดีหรือไม่ แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีเสียทีเดียวนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ข้อวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นให้ตัดพยานจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยประวิงคดีนัน จำเลยได้ประวิงคดีหรือเปล่า ถ้าประวิง ศาลสั่งตัดพยานเสียก็ชอบอยู่ ถ้ามิได้ประวิงคดีก็ชอบที่จะได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานที่ถูกตัดนันเข้าสืบต่อไป
พยานบางคนของจำเลยที่จะนำเข้าสืบต่อไปนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สำหรับนายสุรินทร์ นายช้อย และนางทองคำ จำเลยอ้างว่าไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนแน่ก็ดี อ้างว่านายชลิตส่งหมายให้ยากก็ดี เห็นว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้ได้พยานของตนมาสืบทั้งเคยอ้างเหตุเช่นนี้มาแล้วในการขอเลื่อนครั้งก่อน จึงเป็นการประวิงคดี และเป็นความผิดของจำเลยเองที่ไม่ดำเนินการให้ได้พยานมาสืบ ฯลฯ ไม่อนุญาตให้เลื่อนการนัดสืบพยานจำเลย และให้ตัดพยานจำเลยเสีย
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับนายสุรินทร์พยาน จำเลยขอเลื่อนอีกนัดเดียว และความขัดข้องในการส่งหมายแก่พยานเช่นนี้ ก็อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้ จะถือว่าจำเลยจงใจประวิงคดีก็ดูกระไรอยู่ สำหรับนายชลิตจำเลยก็ร้องอยู่ว่ายากมากในการส่งหมาย และปรากฎว่าเคยขอให้เจ้าหน้าที่กองหมายนำหมายเรียกพยานเอกสารไปส่งให้แก่พยานนี้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องส่งหมายคืนโดยรายงานว่าไม่พบนายชลิต พบหญิงแก่คนหนึ่งก็ไม่ยอมรับหมายแทน ทั้งไม่ยอมแจ้งว่านายชลิตไปธุระที่ไหน และจะกลับเมื่อไร จำเลยจึงได้ขอให้ส่งหมายเรียกถึงพยานนี้โดยกองหมายอีก สำหรับนายช้อยและนางทองคำ จำเลยหาที่อยู่ส่งหมายให้ไม่ได้ และเคยขอให้กองหมายส่งหมายเรียกเอกสารถึงนายช้อยเจ้าหน้าที่ส่งให้ได้ จำเลยจึงขอให้กองหมายส่งหมายเรียกมาเบิกความอีก ศาลก็ยอมจัดการให้แล้ว คราวนี้กองหมายส่งหมายได้หรือไม่อย่างไรหาได้รับรายงานไม่ แต่เมื่อถึงวันนัดพยานไม่มาศาล จำเลยจึงขอเลื่อนคดีรอสอบถามผู้เดินหมายก่อน เช่นนี้ จะว่าจำเลยประวิงคดี และว่าเป็นความผิดของจำเลยเองที่ไม่ดำเนินการให้ได้พยานมาสืบเห็นจะไม่ใช่ ควรให้โอกาสจำเลยได้ดำเนินการอีกนัดหรือสองนัดก่อนจึงจะควรถึงขั้นพิจารณาว่าจำเลยประวิงคดีหรือเปล่า และจะมีทางเรียกให้พยานมาศาลได้หรือไม่ ต่อไป
เมื่อพิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับพยานปากอื่นด้วยแล้ว ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชันดำเนินการให้โอกาสจำเลยนำพยานที่ยังติดใจจะสืบอยู่ทั้ง ๔ ปากนั้นเข้าสืบต่อไป แล้วให้โจทก์นำพยานเข้าสืบหักล้างอีกได้ด้วย เสร็จแล้วให้พิพากษาใหม่ตามรูปความ