แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1)บทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดยื่นคำให้การจะนำใช้แก่ผู้ร้องสอดหาได้ไม่
(2)คำร้องของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 นั้น ย่อมเป็นทั้งค่ำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีได้อยู่ในตัว แล้วแต่กรณี
(3)เมื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 กำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปอย่าให้เกี่ยวข้อง
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของกรมทางหลวงแผ่นดิน จำเลยซ่อมแซมหลักตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ต่อมากรมทางหลวงแผ่นดินยื่นคำร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของกรมทางหลวงแผ่นดิน ได้มาโดยคณะกรรมการอำเภอวารินเอาที่ดินซึ่งสงวนไว้ใช้ประโยชน์ในราชการยกให้ตั้งแต่วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๔๗๗ ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยแล้วได้วครอบครองดูแลรักษาใช้ประโยชน์ตลอดมา นายปรารมย์จำเลยเป็นช่างกำกับการหมวดการทางได้ปฏิบัติการไปตามคำสั่งในฐานะเป็นตัวแทนของกรมทางหลวงแผ่นดิน ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นของกรมทางหลวงแผ่นดิน อย่าให้โจทก์และบริวารเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องสอดของกรมทางหลวงแผ่นดินมีคำขอเป็นฟ้องแย้งและเมื่อทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฎว่ามีเนื้อที่ ๒๗ ไร่เศษ จึงตีราคาทุนทรัพย์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แก้ฟ้องแย้ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คณะกรรมการอำเภอวารินไม่มีอำนาจยกที่ดินของโจทก์ให้แก่ผู้ใดได้ ก่อน พ.ศ.๒๔๙๔ จำเลยหรือผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทเลย หากทางอำเภอยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องสอดจริง ก็ไม่ใช่แปลงพิพาทนี้ เป็นที่ดินอีกแปลงหนี่งต่างหาก กับตัดว่าคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นเพียงคำขอ ไม่ควรรับเป็นฟ้องแย้งหรือคำให้การที่มีข้อต่อสู้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่หลวงสำหรับใช้ในราชการของกรมทางหลวงแผ่นดิน พิพากษายกฟ้องโจทก์ ห้ามไม่ให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว
ฎีกาข้อแรกเป็นข้อกฎหมายอ้างว่า ผู้ร้องสอดมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดต้องถือว่าขาดนัดยื่นคำให้การ และไม่มีข้อต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพ่งมาตรา๑๗๗ นั้น เรื่องนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นฟ้องแย้ง ให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ครั้นต่อมาโจทก์ร้องว่า ผู้ร้องสอดมิได้ยื่นคำให้การขอให้สั่งขาดนัด ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่ปรากฎเหตะดังโจทก์อ้างที่จะสั่งให้ผู้ร้องสอดขาดนัดได้ ให้ยกคำร้องโจทก์ไม่ได้โต้แย้งเพื่ออุทธรณ์ต่อไป
ตามพฤติการณณ์ดังกล่าวมาเห็นได้ว่า โจทก์มุ่งถือเอาว่าผู้ร้องสอดเป็นจำเลยที่โจทก์ฟ้องด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลภายนอกไว้เป็นพิเศษแตกต่างกับจำเลย เช่านให้มีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความด้วยความสมัครใจโดยยื่นคำร้องต่อศาลในระหว่างพิจารณาคดีนั้นหรือเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษาก็ได้ ฉะนั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นจำเลยด้วย ก็จะนำบทบัญญัติว่าด้วยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การภายในกำหนดมาใช้แก่ผู้ร้องสอดหาได้ไม่ ทั้งคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นทั้งคำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีโจทก์อยู่ในตัวแล้ว หาใช่เป็นคำร้องเพียงเพื่อขอยื่นคำให้การหรือฟ้องแย้งดังข้อค้านของโจทก์ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า คำร้องของผู้ร้องสอดใช้กระดาษแบบพิมพ์ไม่ถูกประเภท คือ ใช้แบบพิมพ์คำร้อง(๓)ไม่ใช่แบบพิมพ์คำให้การ(๑๐ ก.)นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อตามกฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้
ส่วนข้อเท็จจริง ในเรื่องเจ้าของที่พิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฝ่ายจำเลยมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร ประกอบกับฟังได้สนิทว่าเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทาราชการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศหวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในราชการ แต่ฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ฯลฯ ศาลทั้งสองพิพากษาชี้ขาดยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน