คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ท.เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์แล้วนำไปใช้ในการกระทำผิดจนถูกยึดเป็นของกลาง แม้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการเก็บรักษาของกลาง พ.ศ. 2480 และข้อตกลงร่วมมือในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติป่าไม้ระหว่างกรมป่าไม้กับกรมตำรวจ จะกำหนดให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจยึดพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือจนคดีถึงที่สุดก็ตาม แต่มิได้ระบุว่าพนักงานสอบสวนจะต้องเก็บรักษาไว้เอง ทั้งระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าวก็ให้อำนาจพนักงานสอบสวนจัดสถานที่สำหรับรักษาพาหนะของกลางหรือมอบให้ผู้ที่สมควรรักษาไว้แทนก็ได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนมอบรถยนต์ของกลางในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ให้ ท.นำไปเก็บรักษาเป็นการใช้ดุลพินิจปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และไม่ขัดต่อข้อตกลงระหว่างกรมป่าไม้กับกรมตำรวจ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยไม่สุจริตหรือมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ แม้โจทก์จะยึดรถยนต์ของกลางคืนจาก ท.เนื่องจาก ท.ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแล้วขายรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้อื่น และต่อมาศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง เป็นเหตุให้โจทก์ถูกผู้ซื้อฟ้องเรียกค่าเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1ก็ยังห่างไกลต่อผลที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน น.ม.-23214 ได้ให้นางทองคำ วณิชวิชากรกิจ เช่าซื้อไประหว่างการเช่าซื้อมีผู้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำผิดกฎหมายและถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบจะต้องเก็บรักษาและยึดรถยนต์คันดังกล่าวไว้ แต่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยให้มีผู้นำรถไปใช้ เมื่อนางทองคำผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงติดตามเอารถยนต์คันดังกล่าวคืนมาและได้ขายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาไป แล้วห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาได้ขายต่อให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนา ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปโดยอ้างว่าศาลมีคำสั่งให้ริบคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาจึงถูกห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนาฟ้องให้รับผิดในการถูกรอนสิทธิ คิดเป็นค่าเสียหาย300,000 บาท และค่าเสียหายรายเดือนพร้อมด้วยดอกเบี้ย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามระเบียบโดยไม่ยึดรถยนต์คันดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานในทางคดีและแจ้งอายัดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถขอให้ศาลคืนของกลางได้และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนา ส่วนจำเลยที่ 2มีฐานะเป็นกรมที่จำเลยที่ 1 รับราชการสังกัดอยู่ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 12,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่า ร้อยตำรวจโทบุญสม สุกคำ รองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจภูธรอำเภอคำชะอีกับพวกได้จับกุมนายบุญหลันจันทร์วีระวงศ์กับพวกรวม 8 คน พร้อมรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่หมายเลขทะเบียน น.ม.-23214 เป็นของกลางในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ทำลายทรัพยากรในที่ดินของรัฐและทำไม้โดยไม่รับอนุญาต นำส่งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในระหว่างทำการสอบสวนนางทองคำ วณิชวิชากรกิจ เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาทได้ยื่นคำร้องขอรับรถยนต์คันพิพาทของกลางไปเก็บรักษาเอง โดยสัญญาว่าจะรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม พนักงานสอบสวนเรียกคืนเมื่อใดจะนำส่งให้ทันทีในสภาพเดิม หากไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ยินยอมให้ปรับเป็นเงินคันละ 500,000 บาท ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมอนุมัติให้นางทองคำรับรถยนต์คันพิพาทไปเก็บรักษาได้จำเลยที่ 1 ได้ให้นางทองคำรับไปเก็บรักษา จำเลยที่ 1 มิได้ปล่อยให้ออกไปวิ่งอยู่บนท้องถนนตามที่โจทก์กล่าวอ้างการคืนรถยนต์ของจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยสุจริตตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งอายัดไปทางต้นทะเบียนห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเพราะไม่มีระเบียบบังคับไว้ ทั้งจำเลยที่ 1 ก็เชื่อโดยสุจริตว่า หากจำเลยที่ 1 เรียกคืนเมื่อใด นางทองคำก็จะต้องนำมาคืนตามสัญญา จำเลยที่ 1 ไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าโจทก์จะยึดกลับคืนและโอนต่อไปจนเป็นเหตุให้เกิดคดีนี้ ขณะศาลจังหวัดนครพนมมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์คันพิพาท จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่นแล้ว เมื่อได้ทราบเรื่องก็ได้พยายามติดตามเอาคืนตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 23 เมษายน 2526 จึงพบและยึดกลับคืนมาได้ในขณะอยู่ในความครอบครองของห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนา การคืนรถยนต์คันพิพาทให้เจ้าของรับไปเก็บรักษาเองและการที่มิได้แจ้งอายัดทางทะเบียนของจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดคดีนี้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิด การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิขอคืนรถยนต์คันพิพาทของกลางจากศาลจังหวัดนครพนมเป็นเพราะความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง เมื่อนางทองคำผู้เช่าซื้อขาดผ่อนส่งตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อควรติดตามว่ากล่าวเร่งรัดเอากับผู้เช่าซื้อตามสัญญาทันที หรือก่อนยึดรถกลับคืนโจทก์ควรแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบ และสอบถามผู้เช่าซื้อให้ทราบความจริงได้ว่ารถยนต์คันพิพาทถูกยึดเป็นของกลาง และใช้สิทธิขอคืนจากศาลหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้เช่าซื้อแต่หาได้กระทำไม่ กลับโอนขายให้บุคคลภายนอกไปก่อนที่ศาลจังหวัดนครพนมมีคำพิพากษาให้ริบเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นการโอนขายโดยไม่สุจริตโจทก์มิได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน น.ม.-23214 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2520 นางทองคำ วณิชวิชากรกิจ ได้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2521ร้อยตำรวจโทบุญสม สุกคำ (ยศในขณะเกิดเหตุ) กับพวกได้ร่วมกันจับกุมนายบุญหลัน จันทร์วีระวงศ์ กับพวกในข้อหาว่าร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและทำไม้โดยมิได้รับอนุญาตพร้อมกับยึดรถยนต์คันดังกล่าวและรถคันอื่นซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลางนำส่งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสารวัตรปกครองป้องกันและรักษาการแทนสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอคำชะอีจังหวัดนครพนม ทำการสอบสวนดำเนินคดี ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม2521 นางทองคำกับพวกได้ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวกับรถคันอื่นขอนำรถไปเก็บรักษาไว้ หากพนักงานสอบสวนประสงค์จะเรียกรถคืนเมื่อใดก็จะนำไปคืนให้ หากคืนไม่ได้ยอมให้ปรับคันละ 500,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงได้เสนอคำร้องพร้อมทั้งบันทึกและสำนวนการสอบสวนต่อผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเพื่อพิจารณาสั่งการเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2521 ต่อมาวันที่ 12พฤษภาคม 2521 พันตำรวจโทพูศักดิ์ บูรณะธนิต รองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ซึ่งรักษาการแทนผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมได้สั่งอนุมัติให้นางทองคำกับพวกรับรถของกลางไปเก็บรักษาไว้ จำเลยที่ 1 จึงได้ให้นางทองคำกับพวกรับไปโดยได้ลงหมายเหตุไว้ในบัญชีของกลางเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ย้ายไปรับราชการในท้องที่อื่น ระหว่างนั้นนางทองคำผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและติดตามรถยนต์ดังกล่าวกลับคืนมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2522 และได้ขายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาไปในราคา 177,000 บาท เมื่อวันที่11 กุมภาพันธ์ 2523 และห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาได้ขายต่อให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนาไป หลังจากนั้นรถยนต์ดังกล่าวได้ถูกจำเลยที่ 1 ยึดเอาไปขณะอยู่ในความครอบครองของห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนาเนื่องจากศาลจังหวัดนครพนมมีคำพิพากษาให้ริบ ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวใหญ่พัฒนาจึงฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาเรียกค่าเสียหายในการถูกรอนสิทธิเป็นเงิน 300,000 บาทเศษ ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาได้ขอให้ศาลหมายเรียกโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมให้ร่วมรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าว ปัญหามีว่า การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ดูแลเก็บรักษารถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่หมายเลขทะเบียน น.ม.23214 ด้วยตนเองและแจ้งอายัดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด กรณีเกี่ยวกับการดูแลเก็บรักษารถยนต์ของกลาง พันตำรวจเอกหม่อมหลวงต่อสร ปราโมชพยานโจทก์เบิกความว่า การเก็บรักษาของกลางของพนักงานสอบสวนนั้นต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการเก็บรักษาของกลาง กระทรวงมหาดไทยพ.ศ. 2480 และข้อตกลงร่วมมือในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติป่าไม้ระหว่างกรมป่าไม้กับกรมตำรวจตามสำเนาเอกสารหมาย ป.จ.1 และป.จ.3 ว่าของกลางในคดีอาญาในชั้นอำเภอให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับกองหรือหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอหรือกิ่งอำเภอเก็บรักษา ฯลฯ และของกลางจำพวกพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิดให้อำนาจพนักงานสอบสวนยึดไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี จนกว่าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ข้อตกลงตามเอกสารหมาย ป.จ.3 จะกำหนดให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจยึดพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีจนกว่าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนคดีถึงที่สุด แต่มิได้ระบุว่าพนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้เก็บรักษาไว้เอง ทั้งระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการเก็บรักษาของกลาง พ.ศ. 2480 เอกสารหมาย ป.จ.1 ข้อ 9 ค. กำหนดให้พนักงานสอบสวนจัดสถานที่สำหรับรักษาพาหนะของกลางหรือมอบให้ผู้ที่สมควรรักษาไว้แทนก็ได้ การที่จำเลยที่ 1 มอบรถยนต์ของกลางให้นางทองคำนำไปเก็บรักษาไว้เองเป็นการใช้ดุลพินิจปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ให้อำนาจไว้ และไม่ขัดต่อข้อตกลงระหว่างกรมป่าไม้กับกรมตำรวจ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยไม่สุจริต หรือมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จะเกิดความเสียหายขึ้นก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์ดังกล่าว แล้วไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยไม่สามารถติดตามมาคืนได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ดังกล่าวที่จำเลยที่ 1ติดตามคืนมาได้ไม่ปรากฏว่าได้รับความเสียหายหรือเสื่อมราคาแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 1 มอบให้นางทองคำนำไปเก็บรักษาไว้เองก็เนื่องมาจากไม่มีสถานที่เก็บรักษา และขณะนั้นสถานีตำรวจภูธรอำเภอคำชะอีอยู่ในเขตผู้ก่อการร้าย อาจถูกผู้ก่อการร้ายโจมตีทำให้รถยนต์เสียหายได้ ทั้งมิได้มอบรถยนต์เฉพาะรายของนางทองคำรายเดียว แต่มอบรถของกลางรายอื่นให้ผู้อื่นไปด้วย โดยมีข้อตกลงว่าหากพนักงานสอบสวนเรียกให้คืนเมื่อใดจะต้องนำส่งคืนให้ทันทีในสภาพเดิม หากไม่สามารถส่งคืนได้ยินยอมให้ปรับคันละ 500,000 บาทด้วย จึงเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลอันสมควรข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ติดตามยึดรถยนต์ดังกล่าวคืนมาจากนางทองคำในเดือนธันวาคม 2522 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาให้ริบในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์ก็น่าจะสอบถามนางทองคำหรือสืบให้ทราบเสียก่อนว่ารถยนต์ดังกล่าวอยู่ในระหว่างเป็นของกลางในคดีอาญาเพื่อที่จะได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอคืนแต่ก็หาได้กระทำไม่ กลับขายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหกลราชสีมาไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2523 และปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาให้ริบและคดีถึงที่สุดไปแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นความประมาทของโจทก์เอง จำเลยที่ 1 หามีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบถึงการที่รถยนต์ดังกล่าวถูกยึดเป็นของกลางเพราะเป็นรถที่ใช้ในการกระทำผิดคดีอาญาไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่แจ้งอายัดทะเบียนรถยนต์ไว้ ทำให้โจทก์ไม่ทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวตกเป็นของกลางในคดีอาญานั้น ได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจเอกหม่อมหลวงต่อสร ปราโมช รองผู้บังคับการกองวิชาการ กรมตำรวจ พยานโจทก์ว่า ตามระเบียบไม่ได้ระบุว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งการยึดอายัดไปยังนายทะเบียนยานพาหนะดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องแจ้งการยึดรถยนต์ดังกล่าวไปให้นายทะเบียนยานพาหนะทราบเพราะไม่มีระเบียบข้อบังคับวางไว้ ถึงแม้จะได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทอักษรว่า ผู้รักษาการแทนพันตำรวจโทอักษรได้แจ้งการอายัดรถยนต์ดังกล่าวและรถของกลางคันอื่นไปยังหัวหน้าสถานีขนส่งจังหวัดนครราชสีมาแล้ว แต่ก็เป็นเวลาภายหลังจากศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาริบรถยนต์ดังกล่าวและรถของกลางรายอื่นไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้ว่า นางทองคำจะนำรถยนต์ดังกล่าวไปใช้ไม่เก็บรักษาไว้ โจทก์จะพบและยึดคืนนำไปขายต่อให้แก่ผู้อื่นเนื่องจากนางทองคำผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ทำให้ผู้ซื้อนั้นได้รับความเสียหาย ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะถูกยึดคืน และผู้ซื้อนั้นจะฟ้องโจทก์ให้รับผิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงห่างไกลต่อผลที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนราชการที่จำเลยที่ 1 สังกัดอยู่ ไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share