คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาคำฟ้องต้องดูทั้งฉบับ เมื่อดูทั้งฉบับแล้วจึงจะเห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องอย่างไร แม้โจทก์จะกล่าวในช่องคู่ความข้างต้นกำกวมบ้าง ก็หามีความสำคัญแก่คดีไม่ และไม่ใช่เรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ด้วย
ลูกหนี้กู้เงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานให้ไว้ เป็นหนังสือ หลังจากนั้นลูกหนี้คนนั้นออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป เช่นนี้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด เพราะหนี้ที่มี่ต่อกันนั้นมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎหมายจึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ฉะนั้น เมื่อปรากฏต่อมาว่า ลูกหนี้ตาย เช็คของลูกหนี้นั้นยังขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นายวิจิตร รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ได้กู้เงินไปจากโจทก์หลายครั้งเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท การกู้ทุกครั้งได้ทำหลักฐานการกู้เงินเป็นหนังสือ ต่อมานายวิจิตร ฯ ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารอเมริกา เพื่อชำระหนี้โจทก์ แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป แต่เมื่อโจทก์ได้นำเช็คไปเข้าบัญชี ธนาคารแจ้งว่า บัญชีนายวิจิตรฯปิดแล้ว ต่อมานายวิจิตร ฯ ถึงแก่กรรม โจทก์ได้ทวงถามหนี้สินรายนี้ไปยังหลวงเสรีเริงฤทธิ์บิดานายวิจิตรฯ ในฐานะทายาท แต่ไม่ได้รับชำระ ก่อนถึงแก่กรรม นายวิจิตรฯ เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว และได้โอนที่ดินให้แก่บิดาคนเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ขอให้มีคำสั่งให้จัดการทรัพย์สินในกองมรดกของนายวิจิตรฯ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
หลวง เสรีเริงฤทธิ์ (พล อ.จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) ทายามกองมรดกนายวิจิตรฯ จำเลย ให้การปฏิเสธ ต่อสู้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์กองมรดกนายวิจิตร ฯ เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
พล อ.จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จัดการทรัพย์มรดกนายวิจิตรฯ ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย
พล อ.จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยมาชอบแล้ว ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ โดยอาศัยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๘๒, ๘๓ ผู้ฎีกาก็รับอยู่ในฎีกา ไม่ได้เถียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องขอให้จัดการทรัพย์มรดกของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายไม่ได้ เถียงแต่ว่า โจทก์เขียนฟ้องไม่ถูกต้อง และอ้างว่าศาลอาจยกฟ้องโจทก์เสียได้เท่านั้น ข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องในคดีนี้ได้เป็นไปตามหลักที่ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๑๗๒ บัญญัติไว้แล้ว กล่าวคือ เมื่อได้อ่านฟ้องข้อสุดท้าย ประกอบเข้าด้วยแล้ว ก็ปรากฏชัดว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยอำนาจมาตรา ๘๒, ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย การพิจารณาคำฟ้องต้องดูทั้งฉบับ และคำฟ้อง ในคดีนี้ เมื่อดูทั้งฉบับแล้ว ก็เห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องอย่างไร แม้จะกล่าวในช่องจำเลยข้างต้นกำกวมบ้าง ก็มิได้ทำให้เสียไป ฉะนั้น ข้อที่ฎีกา ขึ้นมานี้ จึงหามีความสำคัญ แก่คดีไม่ และเมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๔
เรื่องมูลหนี้ของโจทก์ เห็นว่า การปฏิบัติต่อกันระหว่างเจ้าหนี้ และลูกหนี้ ตามข้อเท็จจริงที่ผู้ฎีกากล่าวไว้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๓๔๙ แต่ประการใดเลย เพราะหนี้ที่มีต่อกันนั้นมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ รูปเรื่องเป็นการที่นายวิจิตร ฯ ลูกหนี้ นำเช็คมามอบให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ เป็นการชำระหนี้ เมื่อเช็คของนายวิจิตร ฯ ลูกหนี้ ขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย

Share