แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์รับมรดกความจากมารดาซึ่งได้ฟ้องผู้เช่าที่ดินวัดร้างเป็นจำเลยมิได้ฟ้องกรมการศาสนาจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่าด้วย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่โจทก์ว่าเดินเข้าออกที่สะพานปลาไม่จำเป็นต้องรับอนุญาตจากใครดังนั้น ที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ว่าโจทก์ใช้เป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะและท่าปลามาเป็นเวลา 20 ปีเศษ ได้ภารจำยอม บัดนี้จำเลยล้อมรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กปิดกั้นทางผ่านของโจทก์ จึงเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องว่าได้ภารจำยอม โดยทางอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 จึงเป็นฟ้องซ้ำ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34 ครอบคลุมถึงอายุความได้ภารจำยอมด้วย ผู้ใดจะยกอายุความขึ้นอ้างกับวัดในเรื่องที่ดินของวัด หรือที่ธรณีสงฆ์ไม่ได้
แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2504 มิได้บัญญัติไว้ถึงเรื่องวัดร้าง วัดร้างก็หาได้เสียสภาพจากการเป็นวัดไปได้ (อ้างฎีกาที่ 44/2464 และฎีกาที่ 966/2474)
จำเลยจะปลูกสร้างอาคารและรั้วผิดเทศบัญญัติหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของทางฝ่ายพนักงานปกครองและเทศบาลที่จะจัดการกับจำเลย หาใช่หน้าที่ของโจทก์ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการปลูกสร้างผิดเทศบัญญัติ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยได้รับมรดกจากมารดาโจทก์และบุคคลที่อาศัยครอบครองอยู่ในที่ดินนี้ได้อาศัยเดินออกไปสู่ถนนสุขาภิบาลและออกไปสู่ท่าปลาริมคลองมหาชัยหรือขนสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เช่น ขนส่งสินค้าอันเป็นการค้าขายตามปกติของโจทก์ผ่านและวางของในที่ดินโพธิ์งามมาประมาณ ๖๐ ปีแล้ว โดยโจทก์ไม่มีทางอื่นออกสู่ถนนสาธารณะได้ จนกระทั่งที่ดินวัดโพธิ์งามตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์แล้ว ครั้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ เช่าที่ดินของวัดโพธิ์งาม(วัดร้าง) ทั้งแปลง และอนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ปลูกสร้างอาคารตึก ๓ ชั้นต่อจากอาคาร ๒ ชั้นเดิม เป็นอาคารทึบแสงแดดและลมผ่าน ทั้งมีระเบียงรอบอาคาร และยินยอมให้จำเลยที่ ๒,๓ ล้อมรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กสูงประมาณ ๓ เมตร ห่างที่ดินของโจทก์ ๕๐ เซนติเมตร ตลอดแนวปิดกั้นทางผ่านของโจทก์ โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาแกล้งโจทก์และผู้อาศัยค้าขายที่ตึกแถวในที่ดินของโจทก์ให้ได้รับความเดือนร้อนและทับทางภารจำยอมของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางเดินผ่านได้อย่างเดิม การก่อสร้างดังกล่าวเป็นการกระทำผิดเทศบัญญัติ จำเลยที่ ๓ ในฐานะเทศมนตรีทราบดีอยู่แล้ว ยังอนุญาตให้สร้างได้เพราะมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้ห้องแถวของโจทก์ ๓ ห้องซึ่งให้ผู้อื่นเช่าต้องเปิดไฟตลอดวันและอากาศถ่ายเทเข้าออกไม่ได้ ขนถ่ายสินค้าและใช้เป็นสถานการณ์ค้าอย่างเดิมไม่ได้ ทำให้ผู้เช่าเดิมไม่ประสงค์จะเช่า ทำให้โจทก์ต้องเสียหายและต้องขาดประโยชน์ในทางการค้า ขอให้พิพากษาว่าที่วัดโพธิ์งามตกเป็นภารจำยอมในเรื่องทางของที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยขัดขวาง และให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอม หรือถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยร่วมกันรื้อกำแพงและตึก ๓ ชั้นให้ห่างจากแนวเขตของโจทก์ไม่น้อยกว่า ๓ เมตร และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าที่ดินของโจทก์มีทางออก ๔ ทาง และมีที่ดินของผู้อื่นซึ่งเดิมเป็นที่แปลงเดียวกับที่โจทก์ ถ้าโจทก์ถูกปิดล้อมโจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเดินออกบนที่ดินนั้นซึ่งได้แบ่งแยกที่ดินแปลงเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๐ เดิมที่ดินวัดโพธิ์งามจำเลยที่ ๑ ให้บริษัทรถไฟแม่กลองเช่า เมื่อกิจการรถไฟโอนให้การรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยที่ ๑ ก็ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเช่าต่อมา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทำรั้วกั้นระหว่างที่ดินแปลงนี้กับที่ดินของโจทก์ โจทก์และมารดาโจทก์เคยฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทยกับพวก ขอให้เปิดรั้วและเรียกค่าเสียหายตามคดีหมายเลขแดงที่ ๘,๙,๑๐/๒๕๐๐ ศาลพิพากษายกฟ้อง การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รื้อรั้วออกยังไม่ถึง ๑๐ ปี โจทก์จะนำการได้สิทธิโดยอายุความมาใช้กับที่ดินของวัดไม่ได้ เพราะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๖ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๔,๓๕ จำเลยที่ ๒ มิได้ปลูกสร้างอาคารใกล้แนวเขตที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิได้ร่วมละเมิดด้วย จำเลยที่๑ ให้จำเลยที่ ๒ เช่าที่ดินวัดแปลงนี้เพื่อก่อสร้างอาคารท่าเทียบเรือประมงและโดยสาร และการก่อสร้างก็ทำถูกต้องตามเทศบัญญัติแล้ว การก่อสร้างอาคารและรั้วไม่ได้ปิดบังแสงสว่างและปิดบังทิศทางลมตึกแถวโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะก่อนที่จำเลยที่ ๒ จะทำรั้วปิดกั้นเขตที่ดินและก่อสร้างอาคารหน้าตึกแถวของโจทก์ก็เคยมีรั้วของการรถไฟปิดกั้นมาแล้ว ค่าเสียหายที่โจทก์เป็นการกะและคาดคะเนเอาเองสูงเกินควร เพราะจำเลยที่ ๒ เพิ่งกั้นรั้วและสร้างอาคารก่อนโจทก์ฟ้องอาคาร ๓ เดือน ทั้งฟ้องของโจทก์คดีนี้ก็เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๘,๙,๑๐/๒๕๐๐ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า รั้วและอาคารที่จำเลยที่ ๒ ปลูกสร้างนี้ได้สร้างโดยถูกต้องตามเทศบัญญัติ ถ้าผิดเทศบัญญัติก็อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้รื้อถอนที่ดินของโจทก์มีทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะได้สะดวกหลายทาง เดิมที่ดินของโจทก์กับที่ดินของนายสุวิทย์และนางอาภาเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ถ้าโจทก์ถูกปิดล้อมทางด้านที่ดินของนางสุวิทย์และนางอาภาแล้ว โจทก์ก็ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเดินออกบนที่ดินของนายสุวิทย์และนางอาภาที่ได้แบ่งแยกมา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ เกี่ยวกับรั้วกับที่ดินระหว่างที่ดินโจทก์กับที่ดินวัดโพธิ์งาม โจทก์และมารดาโจทก์เคยฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทยขอให้รื้อรั้ว ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๘,๙,๑๐/๒๕๐๐ ศาลได้พิพากษายกฟ้อง ผลแห่งคำพิพากษานี้ย่อมผูกพันและบังคับโจทก์มิให้กล่าวอ้างขึ้นมาฟ้องอีก รั้วนี้เพิ่งรื้อเมื่อภายหลังศาลได้พิพากษาแล้วยังไม่ถึง ๑๐ ปี การได้สิทธิภารจำยอมเหนือที่ดินของวัดโดยอายุความนั้นจะนำมาใช้กับวัดไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๖ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๔ โจทก์ไม่เสียหายเพราะโจทก์ไม่มีห้องแถวให้เช่า ห้องของโจทก์มืดเพราะโจทก์ปลูกสร้างอาคารชิดเขตที่ดินของโจทก์มากเกินไป เว้นไว้เพียง ๒๕ เซนติเมตร ขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง รั้วอาคารที่จำเลยสร้างโปร่งแสงกว่ารั้วที่การรถไฟสร้างที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อน และจำเลยปลูกสร้างรั้วโดยชอบด้วยกฎหมาย ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องสูงเกินไป จำเลยที่ ๓ กระทำไปโดยสุจริตในหน้าที่ นายกเทศมนตรีไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๘,๙,๑๐/๒๕๐๐ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร และคำพิพากษาในคดีก่อนยังมีผลผูกพันโจทก์การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ที่ดินพิพาทเป็นของวัดโพธิ์งามซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่อาจตกอยู่ในภารจำยอมแก่อสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ได้ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่นตามที่โจทก์อุทธรณ์อีก จำเลยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย การปลูกสร้างอาคารก็ไม่ผิดพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างหรือเทศบัญญัติแต่อย่างใด ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะฟ้องให้รื้อถอนไม่ได้ ไม่ต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ และค่าเสียหายของโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องฟ้องซ้ำ ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ที่ว่าโจทก์เดินเข้าออกที่สะพานปลาไม่จำเป็นต้องรับอนุญาตจากใคร ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ใช้เป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะและท่าปลาริมคลองมหาชัยเป็นเวลา ๖๐ ปีเศษ ได้ภารจำยอม บัดนี้จำเลยล้อมรั้วปิดกั้นทางผ่านของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์ว่าได้ภารจำยอมโดยทางอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ จึงเป็นฟ้องซ้ำ ดังที่จำเลยอ้างมาในคำแก้ฎีกา ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในทางภารจำยอมแล้วจริงหรือไม่ เห็นว่าที่ดินอันเป็นภารยทรัพย์ เป็นที่ดินของวัดโพธิ์งาม ในเรื่องที่ดินของวัดนี้มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๔ บัญญัติไว้ว่า “ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรืองทรัพย์สินอันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์” ดังนั้นอายุความที่วัดต้องเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอายุความที่วัดไม่เสียกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ที่ดินของวัดต้องรับภาระใด ๆ จากที่ดินของบุคคลอื่น ก็อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติเช่นเดียวกับมาตรา ๓๔ จึงครอบคลุมถึงอายุความได้ภารจำยอมด้วย และเห็นว่าแม้วัดโพธิ์งามจะเป็นวัดร้างและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ มิได้บัญญัติไว้ถึงเรื่องวัดร้าง วัดร้างก็หาได้เสียสภาพจากการเป็นวัดไปได้ดังนัยฎีกาที่ ๔๔/๒๔๖๔ และฎีกาที่ ๙๖๖/๒๔๗๔ โจทก์จะยกอายุความได้ภารจำยอมขึ้นอ้างกับวัดซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้ทางเดินผ่านมาช้านานเพียงใด ในเรื่องละเมิดนั้นเห็นว่า จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำการละเมิด เมื่อการกระทำของจำเลยที่ ๒ ไม่เป็นละเมิดก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ว่าจะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ ส่วนเรื่องจำเลยจะปลูกสร้างอาคารและรั้วผิดเทศบัญญัติหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ของทางฝ่ายพนักงานปกครองและเทศบาลที่จะจัดการกับจำเลย หาใช่หน้าที่ของโจทก์ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการปลูกสร้างผิดเทศบัญญัติ
พิพากษายืน