แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 มาตรา 8 และมาตรา 17 ยกเลิกความในมาตรา 26, 75 และมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยให้ใช้และเพิ่มความใหม่แทน โดยความผิดฐานนำพืชกระท่อมเข้ามาในราชอาณาจักร เพิ่มบทความผิดมาตรา 26/2 มีบทกำหนดโทษในมาตรา 75 วรรคสาม ความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพิ่มบทความผิดมาตรา 26/3 มีบทกำหนดโทษในมาตรา 76/1 วรรคสี่ แต่เนื่องจากบทความผิดและบทกำหนดโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่กับกฎหมายเดิมไม่แตกต่างกัน จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ต้องใช้กฎหมายในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 1 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8 26, 75, 76/1, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 75 วรรคสอง, 76/1 วรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำพืชกระท่อมเข้ามาในราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คำรับชั้นจับกุมและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน และปรับ 150,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 100,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองถูกนายประยงค์ เจ้าพนักงานศุลกากร ด่านศุลกากรสะเดา กับพวกจับกุมพร้อมยึดใบพืชกระท่อมสดห่อถุงพลาสติกรัดยาง 1,234 มัด น้ำหนัก 184.10 กิโลกรัม ที่ซุกซ่อนอยู่ในเพดานและฝาผนังรถเป็นของกลาง โดยขณะนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถตู้หมายเลขทะเบียน ฮย 6757 กรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 2 นั่งอยู่เบาะข้าง จากประเทศมาเลเซียจะผ่านด่านศุลกากรสะเดาเข้ามาประเทศไทย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ตรวจพิสูจน์ใบพืชกระท่อมสดของกลางแล้วพบว่าเป็นพืชกระท่อมอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายประยงค์และนายก้องยศ พยานโจทก์เบิกความได้สอดคล้องต้องกันและสมเหตุสมผล ทั้งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามบันทึกการตรวจค้น – จับกุมและบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายประยงค์ที่ยืนยันว่าในชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับว่าได้รับการว่าจ้างให้ขับรถตู้จากประเทศมาเลเซียผ่านด่านศุลกากรสะเดาเข้ามาประเทศไทยและไปส่งที่จังหวัดยะลา พยานโจทก์ทั้งสองไม่รู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความตามความเป็นจริง เมื่อฟังประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้างระหว่างพรมแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย พยานโจทก์ทั้งสองเคยเห็นจำเลยที่ 1 ขับรถแท็กซี่เข้าออกพรมแดนเป็นประจำแล้ว ย่อมเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างขับรถตู้โดยคาดหวังว่าจะผ่านด่านได้โดยไม่ถูกสงสัยและตรวจค้น เมื่อพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อายุ 29 ปี มีอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้างเข้าออกพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย มีการทำประวัติของตนเองและรถให้ไว้ต่อด่านตรวจคนเข้าเมือง จำเลยที่ 1 ย่อมตระหนักได้ดีว่าการขับรถผ่านด่านจะต้องระมัดระวังเรื่องการนำสิ่งของผิดกฎหมายโดยเฉพาะยาเสพติดให้โทษเข้ามาในประเทศ การที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนนั้น แม้บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ระบุว่า จำเลยที่ 2 ชักชวนให้จำเลยที่ 1 กลับบ้านด้วยกันและขอให้จำเลยที่ 1 ช่วยขับรถตู้เพราะอ่อนเพลีย จำเลยที่ 1 จึงช่วยขับโดยไม่ทราบว่ามีพืชกระท่อมซุกซ่อนอยู่ในรถ แต่จำเลยที่ 1 ก็ให้การว่าเพิ่งรู้จักจำเลยที่ 2 ที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าปลอดภาษี จึงไม่สมเหตุสมผลที่จำเลยที่ 1 จะยินยอมขับรถตู้ข้ามพรมแดนให้จำเลยที่ 2 อันเป็นการเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายโดยง่าย และในชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างต่อพยานโจทก์ทั้งสองเลยว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนให้กลับบ้านพร้อมกับรถตู้และถูกจำเลยที่ 2 หลอกลวงให้ขับรถ ทั้งไม่ปรากฏว่าในขณะนั้นจำเลยที่ 1 แสดงปฏิกิริยาต่อว่าจำเลยที่ 2 ที่หลอกลวงซึ่งโดยปกติแล้วบุคคลทั่วไปย่อมต้องกระทำเช่นนั้น จำเลยที่ 1 เพียงแต่อ้างว่าไม่ทราบว่ามีพืชกระท่อมซุกซ่อนอยู่ในรถ อันเป็นการเจือสมคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองให้การรับว่าได้รับการว่าจ้างให้ขับรถตู้จากประเทศมาเลเซียผ่านด่านศุลกากรสะเดาเข้ามาประเทศไทย พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานนำพืชกระท่อมเข้ามาในราชอาณาจักรตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 มาตรา 8 และมาตรา 17 ยกเลิกความในมาตรา 26, 75 และมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยให้ใช้และเพิ่มความใหม่แทน โดยความผิดฐานนำพืชกระท่อมเข้ามาในราชอาณาจักร เพิ่มบทความผิดมาตรา 26/2 มีบทกำหนดโทษในมาตรา 75 วรรคสาม ความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพิ่มบทความผิดมาตรา 26/3 มีบทกำหนดโทษในมาตรา 76/1 วรรคสี่ แต่เนื่องจากบทความผิดและบทกำหนดโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่กับกฎหมายเดิมไม่แตกต่างกัน จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ต้องใช้กฎหมายในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 1 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง วรรคสอง (เดิม), มาตรา 75 วรรคสอง (เดิม), 76/1 วรรคสี่ (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 สำหรับโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น