แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยแกล้งเอาหินมากองไว้ และเอาไม้ปักเป็นหลักกันไม่ให้โจทก์เอาเรือเข้าจอดในลำแม่น้ำระนองอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินซึ่งโจทก์ได้ใช้สอยมานาน ทำให้โจทก์เสียหาย หากเป็นจริงตามฟ้อง โจทก์ก็เป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ย่อยาว
ได้ความตามแผนที่พิพาทว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยด้านทิศเหนือมีเขื่อนกั้นติดต่อกับแม่น้ำระนอง แสดงว่าจากเขื่อนไปสู่แม่น้ำเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมื่อใช่ร่วมกัน โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้นำเรือนี้มาจอดล่ามไว้ในริมร่องน้ำลึกของแม่น้ำระนอง ห่างจากหน้าที่ดินโจทก์จำเลย ๑๐ วาเศษ นับเป็นเวลาติดต่อกันมาจนบัดนี้ เป็นเวลา ๑๐ ปีเศษแล้ว จำเลยได้เอาหลักปักไว้ ๗ ต้น นอกแนวเสากันเรือและเอาหินรวม ๑๕ คิวบิคเมตร มาทิ้งกองไว้ตรงที่เรือโจทก์เคยผูกจอด ทำให้โจทก์ผูกจอดเรือไม่ได้ดังเดิม เป็นการใช้สิทธิทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้ทำไว้ป้องกันไม่ให้เรื่องโจทก์กระแทกสพานจำเลย ซึ่งหน้าที่ดินจำเลยห่างห้าเส้น
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน และพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินเนินการพิจารณาสืบพยานตามที่จำเป็นแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยแกล้งเอาหินมากองไว้ และเอาไม้ปักเป็นหลักกันไม่ให้โจทก์เอาเรือเข้าจอดในลำแม่น้ำระนองอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินซึ่งโจทก์ได้ใช้สอยมานาน ทำให้โจทก์เสียหาย หากเป็นจริงตามฟ้อง โจทก์ก็เป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ดังนี้ จำเลยต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
พิพากษายืน