แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดและจำเลยที่2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ในฐานะ ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท รับผิดใช้ เงินตาม เช็ค ต่อมา ส. ในฐานะ หุ้นส่วนซึ่ง เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 ผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 คนใหม่ได้ ทำหนังสือถึง โจทก์มีใจความว่า “เรียนคุณหมอ สุชาติ ที่นับถือ ตาม ที่คุณหมอให้ผมติดต่อ กับคุณพ่อผม (จำเลยที่ 2) นั้น ผมได้ ถาม แล้ว แก บอกให้ผมเรียนคุณหมอ ว่าแก ไม่มีเจตนาจะคิดโกงแต่ อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าในปีนี้ทั้งปีชักหน้าไม่ถึงหลังตลอด เวลา อยากจะขอความกรุณาคุณ หมอ ช่วย ผ่อนผันให้จนกว่าจะส่งงาน เพราะในขณะนี้ แก ไม่มีเงินจริง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดผมขอยืนยันว่าเป็นความจริง หวังว่าคงจะได้ รับความกรุณาจากคุณหมอ เช่นเคย” ท้ายข้อความเป็น คำลงท้ายของหนังสือและลงลายมือชื่อของ ส. ส่วนตอนต้น ข้อความลงวันเดือน ปีที่ทำหนังสือไว้ด้วย ดังนี้ เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือ ขอผัดชำระหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 เพราะมีข้อความที่กล่าวถึง ระยะเวลา ที่ขอให้โจทก์ผ่อนผันให้ชำระหนี้ดังกล่าวได้จนกว่าจะส่งมอบงาน ซึ่ง เป็นกิจการของห้างจำเลยที่ 1 เอกสารดังกล่าวจึงเป็น หนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 1 แม้มิได้ระบุว่ามีหนี้จำนวนเท่าใด แต่ เมื่ออ่านข้อความทั้งหมด พอเข้าใจได้ ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับ ว่าเป็นหนี้โจทก์ตาม จำนวนที่โจทก์แจ้งไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสุโขทัย เลขที่ 1034403 ลงวันที่ 16กันยายน 2526 จำนวนเงิน 42,400 บาท เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คแล้ว โจทก์ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คจำเลยเพิกเฉย ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ โดยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็ค พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้โจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 1ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่ลงในเช็คจึงขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์42,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.3มิใช่หนังสือรับสภาพหนี้ เพราะมิได้ระบุว่าเป็นหนี้จำนวนเท่าใดแน่นอน ไม่มีข้อความชัดแจ้งว่านายสุรพงษ์ โปสาภิวัฒน์ ผู้ลงชื่อจะชำระหนี้ให้โจทก์ และมิใช่เอกสารที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ทำขึ้นนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งในการวินิจฉัยจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่านายสุรพงษ์หรืออู๊ดบุตรจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 คนปัจจุบัน ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย จ.3 ถึงโจทก์มีข้อความว่า “เรียนคุณหมอสุชาติที่นับถือ ตามที่คุณหมอให้ผมติดต่อกับคุณพ่อผมนั้น ผมได้ถามแล้ว แกบอกให้ผมเรียนคุณหมอว่า แกไม่มีเจตนาจะคดโกงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าในปีนี้ทั้งปีชักหน้าไม่ถึงหลังตลอดเวลา อยากจะขอความกรุณาคุณหมอช่วยผ่อนผันให้จนกว่าจะส่งงานเพราะในขณะนี้แกไม่มีเงินจริง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดผมขอยืนยันว่าเป็นความจริง หวังว่าคงจะได้รับความกรุณาจากคุณหมอเช่นเคย”ท้ายข้อความที่ว่านี้เป็นคำลงท้ายของหนังสือและลายมือชื่อนายอู๊ดซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 2 ส่วนตอนต้นข้อความดังกล่าวลงวันเดือนปีที่ทำหนังสือว่า 6 กันยายน 2527 เห็นได้ว่า เอกสารหมาย จ.3 เป็นหนังสือขอผัดชำระหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 เพราะมีข้อความที่กล่าวถึงระยะเวลาที่ขอให้โจทก์ผ่อนผันให้ชำระหนี้ดังกล่าวได้จนกว่าจะส่งมอบงานซึ่งเป็นกิจการของห้างจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.3จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ซึ่งกระทำโดยนายสุรพงษ์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 คนปัจจุบัน แม้จะมิได้ระบุว่าเป็นหนี้จำนวนเท่าใด แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดพอเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ติดต่อแจ้งไปอยู่จริง ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษายืน.