แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้การซื้อขายช้างจะทำเพียงแต่มอบตั๋วรูปพรรณให้ผู้ซื้อไปมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นโมฆะก็ตามผู้ซื้อซึ่งครอบครองช้างก็มีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิในช้างของผู้ซื้อได้ ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดประเด็นข้อพิพาทต้องคัดค้านไว้มิฉะนั้นจะยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเลี้ยงรักษาช้างสีดอชื่อแสน ได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 นำช้างขี่ไปตามลำพัง ปราศจากคนถือหอกควบคุม ทั้ง ๆ ที่ช้างสีดอแสนเป็นช้างที่ดุร้ายและกำลังตกมันอยู่เป็นเหตุให้ช้างสีดอแสนทำร้ายช้างพังป้องของโจทก์จนกรามหักถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าช้าง 85,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิด
จำเลยทั้งสองให้การว่าช้างสีดอแสนไม่เคยทำร้ายช้างพังของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบฟังได้ในเบื้องต้นว่า ช้างพังชื่อป้องเดิมเป็นของนายบู้ ทองถวิล ต่อมาโจทก์ได้ช้างตัวนี้มาครอบครองและเลี้ยงดู จำเลยที่ 1 เป็นน้องภริยาจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ขี่ช้างสีดอแสนมาตามหลังถึงบริเวณท้ายนาของนายนวลเป็นเวลาพลบค่ำสวนทางกับช้างพังป้อง หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ช้างพังป้องก็ถึงแก่ความตาย
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองช้างพังป้อง จึงมีอำนาจปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง การทำละเมิดเป็นการรบกวนการครอบครองโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีนายบู้ ทองถวิล เจ้าของช้างพังป้องมาเบิกความว่า ได้ขายช้างเชือกนี้ให้โจทก์และมอบตั๋วรูปพรรณให้โจทก์ไปด้วย แม้การซื้อขายจะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะก็ตามข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในช้างพังป้อง เมื่อการกระทำละเมิดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยให้การเพียงว่า โจทก์เป็นเจ้าของช้างพังชื่อป้องจริงหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่ทราบและไม่รับรอง เป็นคำให้การปฏิเสธลอย ศาลไม่ควรกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว โจทก์มิได้คัดค้านจึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ช้างของจำเลยทำร้ายช้างของโจทก์ถึงแก่ความตายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่อ้างว่ารู้เห็นในขณะที่ช้างทำร้ายกันมีนายทอน นายซุ้นนายลัน ทั้งนายทอน นายซุ้นเบิกความว่า เมื่อช้างสีดอแสนวิ่งไล่ทั้งสองคนก็วิ่งหนีจึงไม่เห็นขณะที่ช้างทำร้ายกัน ส่วนนายลันเบิกความว่า ช้างสีดอแสนวิ่งเข้ามาชนท้ายช้างพังป้องเป็นเหตุให้พยานตกจากคอช้างแล้วหลบซ่อนอยู่ในป่าไม่เห็นช้างสีดอแสนกดคอช้างพังป้อง ได้ยินแต่เสียงช้างร้อง โจทก์ว่าช้างพังป้องมีบาดแผลที่กกหูซ้ายเป็นรอยแตกยาวประมาณ 1 คืบ มีโลหิตไหล ต่อมาบริเวณแผลบวมปูดช้ำเขียวโตกว่าผลมะพร้าว ช้างไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำ อ้าปากไม่ได้แสดงว่าช้างมีอาการป่วยหนัก ถ้าเป็นความจริงโจทก์ก็คงจะไปแจ้งความให้กำนันผู้ใหญ่บ้านรับรู้ แต่โจทก์ก็หาได้กระทำดังนั้นไม่ ทั้งไม่ได้ไปตามสัตวแพทย์ หรือผู้มีความรู้ในการรักษาสัตว์มารักษาอาการป่วยของช้าง โจทก์ว่าเมื่อช้างตายแล้วได้ให้หมอผ่าแผลตรวจดูพบว่าบริเวณหู กระดูกกรามหักแต่ไม่ปรากฏว่าได้นำหมดผู้นั้นมาสืบ ทั้งมิได้ให้ผู้ใดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่านี้มิได้แจ้งให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทราบเหตุ เพราะโจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องกันนั้น จำเลยมิได้รับว่าเป็นพี่น้องกับโจทก์ ทั้งโจทก์เป็นคนตำบลบ้านด่าน อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนจำเลยเป็นคนตำบลบ้านตึกอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย พยานโจทก์คือนายศักดิ์ นายตา ที่อ้างว่าเห็นกรามช้างหักก็เบิกความแตกต่างกับโจทก์ โจทก์ว่าดูอาการช้างจนช้างถึงแก่ความตายที่ห้างนายเรือน นายศักดิ์ว่าขณะที่ช้างตายโจทก์บวชพระอยู่ นายตาว่าโจทก์จ้างเหมารถยนต์ของตนจากตำบลบ้านด่านมาดูศพช้างเห็นกรามช้างข้างซ้ายช้ำเขียวมิได้ว่าแตกหัก โจทก์ว่าเมื่อช้างตายนายนวลไปดูศพช้างด้วย นายนวลเบิกความว่า ไม่เห็นมีรอยฟกช้ำดำเขียวบริเวณหน้าและบริเวณอื่น ๆ เลย พยานได้ตรวจดูทุกส่วนของศพช้างแล้ว กรามก็เป็นปกติโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจะหาช้างมาใช้ให้หรือใช้เงินให้ 85,000 บาท แต่ไม่ได้ทำหลักฐานอันใดที่แสดงว่าจำเลยยอมรับผิดไว้เลย พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าช้างของจำเลยทำร้ายช้างของโจทก์จนถึงแก่ความตาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.