แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ
โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ ก.แจ้ง ส.ค.1 ไว้ว่าเป็นของตน การที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของ ก. เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยเบิกความว่า โจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของ ก. โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๙๑/๒๕๒๔ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช มีข้อความสรุปได้เป็นทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้บุกรุกเข้าไปขุดดินในที่นาของนายเกตุ ติกขนา และตัดฟันต้นจากสาคู ซึ่งนายเกตุปลูกไว้ได้รับความเสียหาย ความจริงที่ดินที่โจทก์ขุดไม่ใช่ที่นาของนายเกตุ แต่เป็นหนองน้ำสาธารณะ และไม่มีต้นจากสาคูของนายเกตุทั้งโจทก์ก็มิได้ขุดต้นจากสาคูด้วย ข้อความที่จำเลยเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีเพื่อให้ศาลพิพากษาลงโทษโจทก์ แต่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่เชื่อคำเบิกความของจำเลยจึงพิพากษายกฟ้อง เหตุเกิดตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ ให้จำคุกคนละ ๖ เดือน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายเกตุแจ้ง ส.ค.๑ ทับที่หนองน้ำสาธารณะ และโจทก์มิได้ตัดฟันต้นจากสาคูที่นายเกตุปลูกไว้ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ผู้กระทำต้องกระทำโดยมีเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ การที่จำเลยทั้งห้าเบิกความโดยยึดถือหลักฐานตามเอกสารที่นายเกตุแจ้งการครอบครองไว้ว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของนายเกตุ จึงเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง ไม่เป็นความผิด ส่วนที่จำเลยทั้งห้าเบิกความว่า โจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของนายเกตุได้รับความเสียหายจึงเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ แต่โทษของจำเลยทั้งห้าตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดสูงเกินไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยคนละ ๓ เดือน ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ