แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อยรวม 26 แปลง แล้วจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปโดยกันที่ดินส่วนที่เป็นทางพิพาท กว้าง 5 เมตร ยาว 80 เมตร เพื่อเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะของที่ดินแปลงย่อยทุกแปลงและเป็นทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรดังกล่าวตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงย่อยที่จัดสรรขายย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ทางพิพาทได้ แม้โจทก์ที่ 1 มีทางออกสู่ถนนสาธารณะทางอื่นไม่จำเป็นต้องใช้ทางพิพาทและโจทก์ที่ 2 พักอาศัยอยู่ที่อื่นก็ตาม กรณียังไม่อาจถือได้ว่าทางพิพาทนั้นหมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ การที่จำเลยก่อสร้างรั้วและประตูลงในทางพิพาทย่อมเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่จำเลยก่อสร้างออกไปเสียจากทางพิพาทได้
สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้บังคับรื้อถอนรั้วประตูและหลังคาตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่กีดขวางออกไปเสียจากทางภาระจำยอม แล้วทำทางภาระจำยอมให้กลับสู่สภาพเดิม แต่โจทก์ทั้งสอง มิได้เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทางภาระจำยอมดังกล่าว และประเด็นข้อพิพาทก็คงมีเพียงว่า จำเลยได้ก่อสร้างรั้ว ประตู และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น และหากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครอง ทางพิพาทดังกล่าวก็ยังคงเป็นภาระจำยอมสำหรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองเช่นเดิม คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่ ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่รื้อถอนรั้ว ประตูและหลังคาตลอดจนสิ่งของต่าง ๆ ที่กีดขวางออกไปให้พ้นเสียจากทางภาระจำยอม แล้วทำทางภาระจำยอมให้กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยทั้งสี่ไม่ฏิบัติตามให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้รื้อถอนแทนโดยจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่ทำขึ้นในทางพิพาทกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาว ๘๐ เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๘๙ ตำบลทุ่งมหาเมฆ (สาธร) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร ออกจากที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมทั้งทำให้ที่ดินแปลงดังกล่าวมีสภาพดังที่เป็นอยู่เดิม
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อยรวม ๒๖ แปลง แล้วจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปโดยกันที่ดินส่วนที่เป็นทางพิพาท กว้าง ๕ เมตร ยาว ๘๐ เมตร เพื่อเป็นทาง เข้าออกสู่ถนนสาธารณะของที่ดินแปลงย่อยทุกแปลงและเป็นทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรดังกล่าวตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ โจทก์ทั้งสองผู้ซื้อที่ดินแปลงย่อย ที่เจ้าของเดิมจัดสรรขายย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ในทางพิพาทได้ และแม้ว่าโจทก์ที่ ๑ จะมีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ทางอื่นไม่จำเป็นต้องใช้ทางพิพาทและโจทก์ที่ ๒ พักอาศัยอยู่ที่อื่นก็ตาม กรณียังไม่อาจถือได้ว่าทางพิพาทนั้น หมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ การที่จำเลยทั้งสี่ก่อสร้างรั้วและประตูลงใน ทางพิพาทย่อมเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ฉะนั้นโจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่ตนก่อสร้างไว้ในทางพิพาทออกไปเสียจากทางพิพาทได้
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาอีกข้อว่า จำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่นั้น เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่รื้อถอนรั้ว ประตู และหลังคาตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่กีดขวางทางภาระจำยอมออกไปเสียจากทางภาระจำยอมแล้วทำทางภาระจำยอมให้กลับสู่สภาพเดิม โดยที่โจทก์ทั้งสองมิได้เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทางภาระจำยอมดังกล่าว และแม้จำเลยที่ ๔ จะให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วก็ตาม ประเด็นข้อพิพาทก็คงมีเพียงว่า จำเลยทั้งสี่ได้ก่อสร้างรั้ว ประตู และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น และหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครองแล้ว ทางพิพาทดังกล่าวก็ยังคงเป็นภาระจำยอมสำหรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองเช่นเดิม คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาท โดยการครอบครองแล้วหรือไม่
พิพากษายืน .