แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างทำหน้าที่สารบรรณของจำเลยที่3 ไม่มีหน้าที่ขับรถ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 3 โดยน. ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ยินยอมโดยปริยายให้จำเลยที่ 1 ขับ และนั่งมาด้วยกรณีเช่นนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของ น. ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ต้องควบคุมให้จำเลยที่ 1 ขับรถนั้นมิให้เกิดเหตุร้ายเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุแทน น. ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์ของโจทก์เสียหาย น. ต้องรับผิดในการละเมิดที่เกิดขึ้นการละเมิดนี้ย่อมนับได้ว่าอยู่ในกรอบแห่งการที่จำเลยที่ 3 จ้าง จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
คำฟ้องเดิมของโจทก์ระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของจำเลยที่ชนท้ายรถยนต์โจทก์โดยถือตามบันทึกหมายเลขทะเบียนรถของพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุซึ่งผิดพลาด ต่อมาโจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้อง โดยขอแก้หมายเลขทะเบียนรถของจำเลยเฉพาะเลขตัวหน้าตัวเดียวให้ถูกต้องตามความจริง ดังนี้เป็นเรื่องแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยที่โจทก์เพิ่งทราบหลังจากการชี้สองสถาน แม้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตไปโดยไม่ฟังข้อคัดค้านของจำเลยก็ตาม ก็ถือว่าชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว
คำฟ้องเดิมของโจทก์ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องเป็นว่า’ก.ท.พ.2077หรือก.ท.พ.3077′ ระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของจำเลยว่า ‘ก.ท.พ.2077’ ดังนี้ ย่อมเป็นการขอแก้คันเกิดเหตุที่แท้จริงว่าเป็น ก.ท.พ.3077 นั่นเอง ทั้งคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 และไม่เคลือบคลุม
ภาพถ่ายรถยนต์ของโจทก์ที่โจทก์อ้างประกอบคดีนั้น เป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่จำต้องส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์ก.ท.ฑ 2253 โดยเช่าซื้อจากบริษัทแองโกลไทยมอเตอร์ จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ตำแหน่งพนักงานขับรถ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ก.ท.พ 2077 หรือก.ท.พ 3077 ในขณะเกิดเหตุตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบดูแลรถยนต์ ก.ท.พ 2077 หรือ ก.ท.พ 3077 ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2514 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 คันดังกล่าวในทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่ระมัดระวังชะลอรถหรือหยุดรถให้รถข้างหน้าผ่านพ้นไปก่อน และดูแลความปลอดภัยอันอาจจะเกิดขึ้น เป็นเหตุให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ 2077 หรือ ก.ท.พ 3077พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ ซึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ได้รับความเสียหายหลายอย่าง ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหาย87,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมทั้งชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การ และจำเลยที่ 2, 3 ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ จำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถของจำเลยที่ 2 ที่ 3 รถยนต์ ก.ท.พ 2253 ไม่ใช่ของโจทก์ และโจทก์ไม่ใช่ผู้ครอบครอง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลรถยนต์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3ไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์ ก.ท.พ 2077 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และไม่ได้ขับรถยนต์ประมาท ความประมาทเกิดจากโจทก์ขับรถยนต์ของโจทก์แซงขึ้นหน้ารถที่จำเลยที่ 1 ขับ เมื่อแซงพ้นแล้วก็หยุดกระทันหัน ทำให้รถที่จำเลยที่ 1 ขับหยุดไม่ทัน รถที่จำเลยที่ 1 ขับจึงชนรถโจทก์ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม หากจะฟังว่าเสียหาย ความเสียหายก็มีเพียง10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 57,424 บาท ให้โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงิน 57,424 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ 3077 ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 2 นำรถคันดังกล่าวไปราชการของจำเลยที่ 3 โดยให้นายนอม แดงน้อย ลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 3 เป็นคนขับมีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างทำหน้าที่สารบรรณของจำเลยที่ 3 ไม่มีหน้าที่ขับรถนั่งไปด้วย ตอนขากลับนายนอบได้ยินยอมโดยปริยายให้จำเลยที่ 1 ขับรถจำเลยที่ 1ขับรถคันดังกล่าวด้วยความประมาทชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่เช่าซื้อและอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในวันเกิดเหตุ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 57,424 บาท
วินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า คำร้องขอแก้ไขฟ้องของโจทก์ที่ขอแก้หมายเลขทะเบียนรถของจำเลยเป็นคำร้องเคลือบคลุม เพราะไม่ทราบว่ารถคันใดแน่นอน นั้น เห็นว่าเป็นการร้องแก้หมายเลขทะเบียนรถคันเกิดเหตุจาก ก.ท.พ 2077เป็น ก.ท.พ. 3077 จึงขอแก้เป็น ก.ท.พ 2077 หรือ ก.ท.พ 3077 ซึ่งก็คือ ขอแก้หมายเลขทะเบียนรถคันเกิดเหตุซึ่งแท้จริงว่า ก.ท.พ 3077 นั้นเอง คำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นในทางการที่จ้างหรือไม่ วินิจฉัยว่า กรณีเช่นนี้เป็นหน้าที่นายนอบลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จำต้องควบคุมให้จำเลยที่ 1 ขับรถนั้นมิให้เกิดเหตุร้ายฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 3 แทนนายนอบลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์ของโจทก์เสียหายนายนอมต้องรับผิดชอบในการละเมิดที่เกิดขึ้น การละเมิดนี้ย่อมนับว่าอยู่ในกรอบแห่งการที่จำเลยที่ 3 จ้าง จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการละเมิดครั้งนี้
ประเด็นเรื่องการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตไปแล้ว ชอบด้วยวิธีพิจารณาหรือไม่ วินิจฉัยว่า โจทก์ขอแก้หมายเลขทะเบียนรถของจำเลยเฉพาะเลขตัวหน้าตัวเดียว โดยเดิมโจทก์ถือตามบันทึกหมายเลขทะเบียนรถของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอวังน้อยว่า ก.ท.พ 2077ที่ผิดพลาด ทั้งนี้ เป็นการแก้เพื่อให้ตรงตามความจริง คือ ก.ท.พ 3077 ตามที่โจทก์ได้เรียกทะเบียน ก.ท.พ 3077 ที่แท้จริงมาประกอบคดีด้วยแล้ว ถึงแม้ศาลจะสั่งโดยไม่ฟังข้อคัดค้านของจำเลยก็ตาม เห็นว่า เป็นการแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อย ที่โจทก์เพิ่งทราบหลังจากการชี้สองสถานจำเลยที่ 3 ก็นำสืบรับว่ารถหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ 3077 เป็นของจำเลยที่ 3 ซึ่งชนท้ายรถของโจทก์จริง จำเลยที่ 3 จึงไม่เสียเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาอีกว่า ไม่ควรรับฟังภาพถ่ายรถของโจทก์หมาย จ.1 จ.2ที่โจทก์อ้างประกอบคดี เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันนัดสืบพยานนั้น เห็นว่า ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่ใช่พยานอันจะต้องส่งสำนวนให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยานตามกฎหมาย โจทก์ผู้อ้างจึงไม่ต้องส่งสำเนาให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยาน
พิพากษายืน