คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีพิพาทกันว่า ใครควรเป็นทายาทอันจะมี สิทธิรับบำนาญตกทอดของผู้ตายตาม พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ พ.ศ.2494 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
สามีกับภรรยาคนแรกแยกจากกัน มิได้อยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาทั่วๆ ไป เป็นเวลา 35-36 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรม เมื่อภรรยาคนแรกแยกจากสามีได้ภรรยาคนที่สองอยู่กินด้วยกันรวม 15 ปีก็เลิกร้างกันไป แล้วสามีจึงได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนที่สามและอยู่กินร่วมกันประมาณ 20 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรมและปรากฏว่าก่อนที่สามีจะแยกกับภรรยาคนแรก ได้มีเรื่องขึ้งโกรธกันขึ้นโดยภรรยาคนแรกประพฤตินอกใจสามี จึงต้องละทิ้งสามีไปเที่ยวอาศัยคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ต่างฝ่ายต่างขาดการติดต่อซึ่งกันและกันฉันท์สามีภรรยา จนเป็นที่เห็นว่าทั้งสองหมดเยื่อใยต่อกัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า สามีและภรรยาคนแรกได้สมัครใจหย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้วตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 51 แม้มิได้ทำพิธีหย่าเป็นหนังสือ ก็เป็นการใช้ได้ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2502)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาของหลวงชูวิชากร ผู้ตายขอห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องขัดขวางโจทก์ในการรับบำนาญตกทอดของหลวงชูวิชากร

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของหลวงชูวิชากรโจทก์หย่าขาดกับหลวงชูวิชากรแล้ว และฟ้องแย้ง ขอให้ห้ามโจทก์รับบำนาญตกทอดของหลวงชูวิชากร

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หลวงชูวิชากรกับโจทก์ยังไม่หย่าขาดจากสามีภรรยากัน การจดทะเบียนสมรสของจำเลยกับหลวงชูวิชากรตกเป็นโมฆะ โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิได้รับบำนาญตกทอดของหลวงชูวิชากรและห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้พิพาทกันว่า ใครควรเป็นทายาทอันจะมีสิทธิรับบำนาญตกทอดของหลวงชูวิชากรตาม พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญพ.ศ. 2494 จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์และหลวงชูวิชากรเป็นสามีภรรยากันก่อนใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 อยู่กินด้วยกันชั่วระยะเวลาไม่เกิน 15-16 ปี และโจทก์กับหลวงชูวิชากรก็แยกจากกัน มิได้อยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาทั่วไป เป็นเวลา 35-36 ปี จนกระทั่งหลวงชูวิชากรถึงแก่กรรมหลังจากโจทก์แยกกับหลวงชูวิชากรแล้ว หลวงชูวิชากรได้ภรรยาอีกคนหนึ่งอยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตาเป็นเวลา 15 ปี จึงเลิกร้างกันไป แล้วหลวงชูวิชากรจึงได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย อยู่กินด้วยกันจนกระทั่งหลวงชูวิชากรถึงแก่กรรมเป็นเวลาประมาณ 20 ปี ขณะโจทก์จะแยกกับหลวงชูวิชากรไป ได้มีเรื่องโกรธขึ้งกันขึ้น โดยโจทก์ประพฤตินอกใจหลวงชูวิชากร โจทก์จึงละทิ้งหลวงชูวิชากรไปเที่ยวอาศัยคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ต่างฝ่ายต่างขาดการติดต่อซึ่งกันและกันฉันท์สามีภรรยาจนเป็นที่เห็นว่า ทั้งสองหมดเยื่อใยต่อกัน ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับหลวงชูวิชากร ได้สมัครใจหย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้ว ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่ 51 แม้จะมิได้ทำพิธีหย่าเป็นหนังสือ ก็เป็นการใช้ได้ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย และฟังว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับหลวงชูวิชากรสมบูรณ์แล้วทุกประการ

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ และห้ามโจทก์ขัดขวางจำเลยในการขอรับบำนาญตกทอดของหลวงชูวิชากร

Share