แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร การที่ทนายจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์ดูแล้วโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า สำเนาหนังสือสัญญากู้เงินเป็นสัญญากู้เงินที่โจทก์ทำมอบไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้กู้ขณะยังไม่มีการกรอกข้อความ โจทก์หาได้เบิกความรับรองข้อความในเอกสารไม่ ดังนั้น การที่ทนายจำเลยทั้งสองส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบโดยฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง (เดิม) จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง
การที่จำเลยที่ 1 สาบานตนให้การเป็นพยานว่า โจทก์กู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 1,500,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4878 ให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้างข้อเท็จจริงเป็นประเด็นขึ้นใหม่ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นคำเบิกความในข้อที่ไม่ได้เป็นประเด็นในคดี จึงรับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4878 ตำบลนิคมทุ่งโพธิ์ทะเล อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร คืนให้แก่โจทก์ ถ้าโฉนดที่ดินสูญหายหรือถูกทำลาย ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินแก่โจทก์โดยจำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4878 ตำบลนิคมทุ่งโพธิ์ทะเล อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร คืนแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 เคยฟ้องโจทก์เป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้น โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแต่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 นำสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินมาถามค้านโจทก์ และจำเลยที่ 1 สาบานตนให้การเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 2 โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยที่ 1 จำนวน 1,500,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4878 ให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นหลักประกันแต่โจทก์ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินเป็นเอกสารประกอบการถามค้าน ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 เรียกพยานหลักฐานเข้าสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง (เดิม) ศาลจึงรับฟังสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินได้นั้น เห็นว่า โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่าสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินเป็นหนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ทำมอบไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้กู้ในขณะที่ยังไม่มีการกรอกข้อความในเอกสารดังกล่าว โจทก์หาได้เบิกความรับรองข้อความในเอกสารไม่ การที่ทนายจำเลยทั้งสองส่งสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินต่อศาลชั้นต้นเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบโดยฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง (เดิม) จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง
การที่จำเลยที่ 1 สาบานตนให้การเป็นพยานว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำเลยที่ 1 จำนวน 1,500,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้างข้อเท็จจริงเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นคำเบิกความในข้อที่ไม่ได้เป็นประเด็นในคดีจึงรับฟังไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินดังกล่าวย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ