แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่สามารถยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นเนื่องจากพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้และศาลชั้นต้นมิได้กะประเด็นนำสืบในข้อนี้ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอ้างอิงปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง
เมื่อประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญในประเด็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจให้โจทก์นำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์มาสืบเพิ่มเติม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม, 240(3)ประกอบด้วยมาตรา 247 แล้วให้จำเลยสืบแก้ รวมทั้งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิระบุทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารเพิ่มเติมได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าถากถางตัดฟันต้นไม้ และปลูกบ้านโดยยกเสาขึ้นแล้ว 6 ต้น และเข้ายึดถือครอบครองที่พิพาทโจทก์ร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนให้ว่ากล่าวห้ามปรามจำเลย แต่จำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้จำเลยรื้อถอนเสาและรั้วออกไป และห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
จำเลยสู้ว่า จำเลยเป็นตัวแทนจัดการครอบครองดูแลทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อจากนายเนิ่นซึ่งรับมอบอำนาจมาจากนายเจิม เกษสุวรรณ์เจ้าของที่พิพาท นายเจิมได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2467 หากโจทก์ซื้อที่รายนี้มาจริงก็ได้ทอดทิ้งปล่อยปละละเลยให้นายเจิมครอบครองมาเกิน 1 ปี โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะเป็นที่มือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ จำเลยไม่รับรองว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เป็นใบมอบอำนาจที่ถูกต้องแท้จริง แผนที่ท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
นายเนิ่น เกษสุวรรณ์ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนายเจิมเกษสุวรรณ์ ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาท ให้รื้อบ้านและรั้วออกไปจากที่พิพาท ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลต่างด้าวไม่มีสิทธิในที่พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยื่นฎีกาอ้างว่า จำเลยมิได้ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น และในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นก็มิได้กะประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนี้ให้โจทก์สืบแต่ประการใดเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พิพาทของโจทก์ได้ถูกควบคุมโดยคณะกรรมการควบคุมและจัดกิจการหรือทรัพย์สินของคนต่างด้าวบางจำพวกในภาวะคับขันและคณะกรรมการก็ได้ทำการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิในที่พิพาทแทนโจทก์ไว้ เมื่อเลิกสงครามรัฐบาลไทยได้มอบทรัพย์สินรวมทั้งที่พิพาทคืนให้โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงสงบศึก โดยถือว่าบริษัทโจทก์ยังมีสิทธิสมบูรณ์ในที่พิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนั้น หากความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาและตามเอกสารที่โจทก์ขออ้างเพิ่มเติมแล้วที่พิพาทก็ยังเป็นสิทธิของโจทก์อยู่โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ทั้งทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ไม่สามารถยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น เนื่องจากพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ และศาลชั้นต้นก็มิได้กะประเด็นให้นำสืบในข้อนี้ โจทก์จึงย่อมมีสิทธิที่จะอ้างอิงปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค 2 และโดยที่ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญในประเด็น ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้โจทก์นำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์มาสืบเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรค 3, 240(3) ประกอบด้วยมาตรา 247แล้วให้จำเลยสืบแก้ ทั้งนี้ รวมทั้งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิระบุทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารเพิ่มเติมได้ด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ