คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายพวกเจ้าทรัพย์ถึงบาดเจ็บด้วย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยปล้นทรัพย์แต่ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันเป็นคนร้ายลักเอาธนบัตร สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำ รวมราคา 2,280 บาท ของนางนกแก้วโดยในการลักทรัพย์นี้ จำเลยกับพวกได้ใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายปลูก นางกิมลุ้ย พวกของเจ้าทรัพย์ถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ กับขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 92 และนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 394/2508 (แดงที่ 599/2508)

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ส่วนข้อต้องโทษ จำเลยที่ 2 รับว่าจริงตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ให้จำคุกคนละ 15 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 92อีก คงจำคุกจำเลยที่ 2 ยี่สิบปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,280 บาทแก่เจ้าทรัพย์ ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อตามฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กับพวกใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายปลูก นางกิมลุ้ย จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจริง ส่วนในข้อหาปล้นทรัพย์พยานเบิกความแตกต่างกันไม่น่าเชื่อ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก 8 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 2

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมาทำร้ายผู้เสียหายในข้อที่จำเลยทั้งสองกับพวกมาทำร้ายผู้เสียหายนั้น เพื่อประสงค์จะทำการปล้นทรัพย์ตามฟ้องจริงหรือไม่ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เชื่อว่าคดีนี้จำเลยกับพวกสมคบกันมาเพื่อปล้นทรัพย์ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ด้วย ให้ลงโทษจำคุก 8 เดือน เพิ่มโทษตามมาตรา 92แล้วเป็นให้จำคุก 10 เดือน 20 วัน นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ 599/2508 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้นี้แล้ว ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share