คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มิได้กล่าวมาให้ชัดแจ้งว่าตามข้อเท็จจริงอย่างไรที่แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเหตุใดจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งในฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แล้วจึงกล่าวถึงปัญหาที่ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ตามข้อนำสืบของโจทก์อันเป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น.

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามบังคับ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 898/12 หมู่ที่ 1 ตำบลพนมอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมอบอำนาจให้นายแหยม แซ่เตียวดำเนินคดีแทน บ้านที่โจทก์นำยยึดเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลยขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์ให้การว่าบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย มิใช่ของผู้ร้องขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามพยานหลักฐานฟังได้ว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องแม้จะได้ความว่า ผู้ร้องได้ขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามที่โจทก์อุทธรณ์แต่ปรากฏว่าการซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก พิพากษากลับให้ปล่อยบ้านเลขที่ 898/12 หมู่ที่ 1 ตำบลพนม อำเภอพนมสารคามจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่โจทก์นำยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…โจทก์มิได้กล่าวมาให้ชัดแจ้งว่า ตามข้อเท็จจริงอย่างไร ซึ่งแสดงว่าบ้านพิพาทไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งในฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้
ส่วนข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยมาสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นโมฆะ เพราะผู้ร้องมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวอ้างในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานว่า บ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แล้วจึงกล่าวถึงปัญหาที่ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามข้อนำสืบของโจทก์ โดยศาลอุทธรณ์กล่าวว่า ถึงแม้จะฟังตามที่โจทก์นำสืบ สัญญาซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรกปัญหาดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ตามข้อนำสืบของโจทก์ อันเป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น…”
พิพากษายืน.

Share