คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าอาคารรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องครัวใช้ในการประกอบธุรกิจค้าอาหารจากโจทก์ ต่อมาเจ้าของที่ดินได้ฟ้องขับไล่โจทก์ จำเลยและผู้เกี่ยวข้องออกจากที่เช่าโดยอ้างว่า ที่ดินและอาคารที่เช่าเป็นของตน จำเลยจึงได้นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางเพราะไม่สามารถหยั่งรู้สิทธิอันแท้จริงของเจ้าหนี้ หรือผู้มีสิทธิรับชำระหนี้ได้ แม้ต่อมาอธิบดีกรมบังคับคดีมีคำสั่งให้คืนเงินค่าเช่าแก่จำเลย โดยมีความเห็นว่า เจ้าพนักงานไม่ควรรับการวางทรัพย์จำเลยได้รับคืนและนำไปวางต่อศาลชั้นต้นในคดีที่เจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ และคดีดังกล่าวเจ้าของที่ดินได้ถอนฟ้อง โดยมีข้อตกลงว่าเจ้าของที่ดินยอมชำระเงินชดเชยสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ผู้เกี่ยวข้องและจำเลยยอมให้ทรัพย์สินทั้งหมดในที่เช่าเป็นของเจ้าของที่ดิน ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาต่อกันข้อตกลงในการถอนฟ้องของโจทก์และจำเลยในคดีฟ้องขับไล่นั้น หากจะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วยหาได้ไม่ เพราะไม่มีข้อตกลงอันใดระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเจตนาให้ข้อพิพาทในคดีนี้ระงับหรือเสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องว่าจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าสัญญาเลิกกันให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจึงต้องพิเคราะห์ว่า จำเลยผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่ เมื่อจำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพราะถูกเจ้าของที่ดินกล่าวหาว่าอยู่ที่เช่าโดยละเมิดและฟ้องขับไล่และต่อมาได้นำไปวางต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวเช่นนี้จะถือว่าเป็นการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าอันจะเป็นเหตุให้สัญญาเช่าเลิกกันหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าอาคารรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องครัวของใช้ในการประกอบธุรกิจการค้าอาหารจากโจทก์ โดยตกลงจำเลยต้องชำระค่าเช่าภายในวันที่ 30 ของทุกเดือน ถ้าผิดนัดเดือนใดถือว่าสัญญาเช่าเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่า โดยจำเลยได้นำเงินค่าเช่าที่จะต้องชำระไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองขอรับเงินดังกล่าวไม่ได้ เนื่องจากอธิบดีกรมบังคับคดีได้มีคำสั่งว่าเจ้าพนักงานไม่ควรรับการวางทรัพย์และให้คืนเงินแก่จำเลย จำเลยรับเงินคืนไปแล้วและยังไม่ได้ชำระค่าเช่าประจำเดือนแก่โจทก์เป็นการผิดสัญญา สัญญาเช่าจึงเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว ขอบังคับให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกไปจากบ้านให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยปฏิบัติผิดสัญญาจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่นางอรนุช ธินสมบูรณ์ ฟ้องขับไล่โจทก์จำเลยและบุคคลอื่นออกจากที่เช่าตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 27048/2529ของศาลชั้นต้นจำเลยจึงได้มอบสถานที่เช่าคืนแก่นางอรนุชเจ้าของที่ดิน จำเลยขาดผลประโยชน์ในการใช้ตามที่ได้ตกลงกันอันเป็นการรอนสิทธิจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าประจำเดือนตุลาคม 2529 สัญญาเช่าจึงเลิกกันพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกันแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าอาคารเลขที่ 2154 ซึ่งใช้ประกอบกิจการ จำเลยเช่าอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ประกอบกิจการดังกล่าว มีกำหนด 1 ปี จำเลยตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนทุกวันที่ 30 ของเดือน หากผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนใดสัญญาเช่าเป็นอันเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว และจำเลยจะต้องส่งมอบอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ประกอบกิจการดังกล่าวคืนโจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าแต่จำเลยได้นำไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี แต่อธิบดีกรมบังคับคดีได้มีคำสั่งให้คืนเงินค่าเช่าแก่จำเลยโดยมีความเห็นว่าเจ้าพนักงานไม่ควรรับการวางทรัพย์ไว้ ซึ่งจำเลยได้รับคืนและนำไปวางต่อศาลชั้นต้นในคดีที่นางอรนุชฟ้องขับไล่นางอนงค์ สรศักดิ์เกษม ภริยาโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ทั้งสอง นางศุภลักษณ์ วิบูลย์ลาภ และจำเลยออกจากที่ดินและอาคารตามฟ้องตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 27048/2529 ของศาลชั้นต้นและคดีดังกล่าวนี้นางอรนุชได้ถอนฟ้องเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2530โดยมีข้อตกลงกันว่านางอรนุชยอมชำระเงินชดเชยสิทธิการเช่าให้แก่นางอนงค์ โจทก์ทั้งสองและนางศุภลักษณ์ จำนวน 120,000บาท ฝ่ายนางอนงค์ โจทก์ทั้งสอง นางศุภลักษณ์ และจำเลยยอมให้ทรัพย์สินทั้งหมดในสถานที่เช่าเป็นของนางอรนุช และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากันอีกต่อไป
มีปัญหาต้องฎีกาโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองได้ประนีประนอมยอมความกับจำเลยแล้วจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกหรือไม่เห็นว่าข้อตกลงในการถอนฟ้องของโจทก์และจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 27048/2529 ของศาลชั้นต้นดังกล่าวมาแล้วนั้นหากจะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 27049/2529 ของศาลชั้นต้นเพียงสองฝ่ายโดยเฉพาะเท่านั้น จะถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยในคดีนี้ด้วยหาได้ไม่เพราะไม่มีข้อตกลงอันใดระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยในคดีนี้ที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่าเจตนาให้ข้อพิพาทคดีนี้ระงับหรือเสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คดีนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ จำเลยจึงนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กรมบังคับคดี และมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว เพราะจำเลยครอบครองทรัพย์สินที่เช่าไม่ปกติสุข เนื่องจากถูกนางอรนุชกล่าวหาว่าอยู่ในที่เช่าโดยละเมิด โดยอ้างว่าทั้งที่ดินและอาคารที่เช่าเป็นของนางอรนุช จำเลยไม่ทราบว่าจะชำระค่าเช่าแก่ใคร เพราะไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิอันแท้จริงของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับชำระหนี้ได้แม้ต่อมาอธิบดีกรมบังคับคดีได้มีคำสั่งให้คืนเงินค่าเช่าทั้งสองเดือนนั้นให้แก่จำเลย จำเลยก็ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางในคดีที่นางอรนุชฟ้องขับไล่จำเลยกับพวก เช่นนี้ที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์จะถือว่าเป็นการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าอันจะเป็นเหตุให้สัญญาเช่าเลิกกันหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยจึงยังไม่เลิกกัน โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายตามฟ้องจากจำเลย
พิพากษายืน

Share